นายสยาม เตียวตรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส (TKC) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามเข้าประมูลงานที่เกี่ยวข้องกับบริการด้านเทเลคอม การติดตั้งระบบเทคโนโลยี และติดตั้งระบบไอทีต่างๆ ซึ่งเตรียมเปิดประมูลในช่วงครึ่งหลังของปี 65 รวม 5.1 พันล้านบาท คาดหวังจะได้รับงานเข้ามาไม่ต่ำกว่า 30-40% ของมูลค่างานที่ติดตามอยู่
บริษัทมองว่าแนวโน้มของการลงทุนด้านระบบดิจิทัลและไอทียังมีอยู่มาก เนื่องจากหน่วยงานต่างๆของภาครัฐและเอกชนต้องการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน โดยนำระบบดิจิทัลและไอทีต่างๆ มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และเพื่อให้สามารถบริหารจัดการงานด้านต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของหน่วยงานต่างๆ มีความสำคัญค่อนข้างมาก ขณะที่การวางโครงข่าย 5G ของผู้ประกอบการค่ายมือถือต่างๆยังมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มงานใหม่ๆ มีเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมุ่งเน้นการรับงานที่เป็นเมกะเทรนด์ในอนาคตเพิ่มเข้ามา เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆเข้ามาเพิ่มขึ้น และเป็นการต่อยอดในกานให้บริการด้านโซลูชั่นของบริษัท โดยมุ่งขยายไปในการรับงานใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับระบบ Smart Hospital ระบบ Smart Airport Cyber Security ระบบ Smart Platform ระบบ Smart Government และระบบ Smart Farming เป็นต้น
"เรามุ่งสร้างธุรกิจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในชีวิตประจำวัน และการทำงาน ยกระดับมาตรฐานคุณภาพการจัดการในโรงพยาบาล สนามบิน สร้างแพลตฟอร์มอัจฉริยะ สร้างระบบคลาวด์ภาครัฐ พัฒนาบุคลากรด้าน Cyber Security และนำเทคโนโลยีไปใช้พัฒนาการเกษตร เพื่อพัฒนาผลผลิต และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร" นายสยาม กล่าว
สำหรับงานใหม่ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาในไตรมาส 3/65 มีมูลค่า 412 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาเติบในมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ช่วงครึ่งปีหลังราว 50% หนุนให้บริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมาย 2.6 พันล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน โดยครึ่งปีแรกรายได้อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ในช่วงปลายไตรมาส 3/65 ยังมีงานที่บริษัทเข้าประมูลไปแล้วรอประกาศผลเพิ่มเติมอีกราว 755 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน แบ่งเป็น รายได้จากการรับเหมาโครงการ 50% รายได้จากค่าบริการ 37% และรายได้จากการจัดจำหน่าย 13% โดยบริษัทยังคงรักษาระดับสัดส่วนรายได้ดังกล่าวต่อเนื่อง เพราะมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสมในการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่ในอนาคตหากบริษัทต้องการขยายงานในส่วนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญมากก็อาจจะเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ มากกว่าการเข้าซื้อกิจการ เพราะเหมาะสมกับการขยายตลาดและใช้เงินลงทุนไม่มาก