ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกุ้ชุดใหม่ 6 พันลบ.ของ SIRI ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 29, 2022 16:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ "BBB-"

ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปีของบริษัท ที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงสินค้าที่หลากหลาย ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม รวมทั้งภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับระดับหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้ต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาทเทียบกับยอดขายสุทธิที่ 1.4 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565ที่ 1.29 หมื่นล้านบาทซึ่งลดลง 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเนื่องจากรายได้จากการขายคอนโดมีเนียมชะลอตัวลง บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 จำนวน 1.69 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยยอดขายรอการรับรู้รายได้จากโครงการของบริษัทเองจำนวน 1.56 หมื่นล้านบาทและจากโครงการร่วมทุนอีกจำนวน 1.3 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 9.5 พันล้านบาทในปี 2565 มูลค่า 5 พันล้านบาทในปี 2566 และที่เหลือในปี 2567 ทริสเรทติ้งมองว่าผลการดำเนินงานและกำไรของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2565 อาจได้รับผลกระทบจากสภาวะในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3.2-3.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักด้วยสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในช่วงปีประมานการ

ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 7.0-7.5 พันล้านบาทต่อปี และคาดว่าอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 22% ในปี 2565-2567 ทั้งนี้ EBITDA ของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 3.3 พันล้านบาทและอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้อยู่ที่ระดับประมาณ 25%

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงปีประมาณการ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัท (รวมสัดส่วนเงินกู้ยืมภายใต้กิจการร่วมทุน) จะอยู่ที่ระดับ 63%-65% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในช่วง 5%-10% ในปี 2565-2567 ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมอยู่ที่จำนวน 7.31 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่จำนวน 1.84 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 25%

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะค่อนข้างตึงตัวแต่น่าจะสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 การใช้เงินทุนของบริษัทประกอบไปด้วยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.64 หมื่นล้านบาท ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนสำหรับเครื่องจักรในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) และการลงทุนอื่น ๆ ที่จำนวนประมาณ 700 ล้านบาทในปี 2565 และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 50% แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 3.2 พันล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกและไม่สามารถยกเลิกได้อีกจำนวน 1.07 หมื่นล้านบาท

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่จำนวน 3.8 พันล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินเปล่าและที่ดินของโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ปลอดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีจำนวน 3.57 หมื่นล้านบาทและสินค้าที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขายในโครงการที่ปลอดภาระหนี้ซึ่งมีมูลค่าขายอีกจำนวน 1.0 พันล้านบาทซึ่งบริษัทสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้จากธนาคารในกรณีที่จำเป็นได้อีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามประมาณการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 66% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในช่วง 5%-10% เอาไว้ได้ตลอดช่วงเวลาประมาณการ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรให้อยู่ในระดับเกินกว่า 5% เอาไว้ได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเทียบเท่ากับผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่าซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 10%-15% ในช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ