นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์-รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสฟื้นตัวในกรอบแคบๆ ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค หลังจากคลายกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ เนื่องจากให้น้ำหนัก 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% และส่วนโอกาสปรับขึ้น 1% นั้นมีน้ำหนักเพียง 18%
ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับแรงหนุนจากการที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย และราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาราว 0.5% ช่วยหนุนหุ้นบางกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวก รวมไปถึงหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มประกันที่จะได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สูง
ทั้งนี้ ล่าสุด Bond Yield สหรัฐอายุ 2 ปี พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.9% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี และ 30 ปี
พร้อมให้แนวต้านที่ 1,636-1,640 จุด ส่วนแนวรับที่ 1,627 จุด และ 1,620 จุด
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า คงมุมมองเชิงเชิงบวกต่อ SET จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยเฉพาะใน Q4/65 ที่จะเข้า High Season ของการท่องเที่ยว คาดหนุนหุ้นในกลุ่ม Domestic และ Reopening Play รวมถึงทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอ่อนในระยะนี้ รวมถึงคาดทำให้กระแสเงินทุนยังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าในระยะกลาง-ยาว ประเมินระดับในการเข้าสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,600-1,610 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (19 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,019.68 จุด เพิ่มขึ้น 197.26 จุด หรือ + 0.64%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,899.89 จุด เพิ่มขึ้น 26.56 จุด หรือ +0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,535.02 จุด เพิ่มขึ้น 86.62 จุด หรือ +0.76%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,788.68 จุด เพิ่มขึ้น 221.03 จุด หรือ +0.80%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 18,700.68 จุด เพิ่มขึ้น 134.71 จุด หรือ +0.73% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,127.84 จุด เพิ่มขึ้น 12.24 จุด หรือ +0.39%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (19 ก.ย.65.) ที่ระดับ 1,631.57 จุด เพิ่มขึ้น 1.17 จุด, +0.07%
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 633.34 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ก.ย.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.(19 ก.ย.) เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 85.73 ดอลลาร์/บาร์เรล;
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (19 ก.ย.) อยู่ที่ -2.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 36.88 แข็งค่าจากวานนัหลังดอลลาร์อ่อนค่า รอผลประชุมเฟดกลางสัปดาห์
- แพทย์ทั่วประเทศร่วมลงชื่อ 1,363 ราย เรียกร้องรัฐบาล "ปิดกัญชาเสรีในสภาวะสุญญากาศ" ทันที ชี้เป็นภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุข "เพื่อไทย" จวกบางพรรคหวังเพียงคะแนนเสียงจนไร้การควบคุม "อนุทิน" ยันใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ ประกาศ สธ.เพียงพอควบคุมคุ้มครองเด็กเยาวชน-ห้ามใช้นันทนาการ โต้ให้กลับไปเป็นยาเสพติดเป็นการแก้ไขแบบสิ้นคิด "ชวน" แฉ ม.เอกชนยุยงไม่ให้คืนเงิน "กยศ.
- พลังงาน" เตรียมเสนอ กพช.เคาะแผนรับมือฉุกเฉินพลังงานโลกแพงช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ (ต.ค.ธ.ค.) หวังเบรกวิกฤตค่าไฟแพง "สุพัฒนพงษ์" วางเป้าหยุดนำเข้า LNG ช่วง ต.ค.-พ.ย.เร่งหาเชื้อเพลิงอื่นทดแทนทั้งเพิ่มโรงไฟฟ้าใช้ดีเซล เลื่อนปลดระวางโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซื้อก๊าซ JDA เพิ่ม จับตาระยะยาวไทย-กัมพูชารุกคืบพัฒนาปิโตรเลียมทับซ้อน ด้านแผนพีดีพีใหม่จ่อชง กบง. ต.ค.นี้ เร่งเครื่องพลังงานหมุนเวียน
- "พิพัฒน์" ถอดใจรายได้ท่องเที่ยวปี 65 ไม่ถึงเป้า 1.5 ล้านล้านบาท คาดทำได้แค่ 1.08 ล้านล้านบาท แม้ต่างชาติเข้าไทยได้ 10 ล้านคน แต่คนไทยเที่ยวไทยพลาดเป้าเหลือ 120 ล้านคน/ครั้ง ขณะที่ ททท.สู้ยิบตา ยันเป้าหมายเดิม พร้อมทุ่ม 150 ล้านบาท ทำโครงการ "ลดทั่วฟ้า บินทั่วไทย" กระตุ้นคนไทยเดินทาง
- โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลวางเป้าหมายสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยให้ภาพรวมปี 2566 การท่องเที่ยวของไทยกลับมา 80% ของปี 2562 (ก่อนโควิด-19) คาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.73 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากต่างประเทศ 970,000 ล้านบาท และรายได้หมุนเวียนจากตลาดคนไทย 760,000 ล้านบาท พร้อมเชื่อหากเป็นกรณี Best Case Scenario) จะมีรายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท และในประเทศ 880,000 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- GPSC (กรุงศรี) "ซื้อ" เป้า IAA Consensus 77 บาท มี Sentiment บวกจากข่าวภาครัฐเตรียมสนับสนุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า (ผลิต 1GWh ให้เงินสนับสนุน 600 ล้านบาท) และครึ่งปีหลังได้ผลบวกจากการปรับขึ้นค่า Ft ช่วยเพิ่มรายได้และชดเชยต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น
- PTG (กสิกรไทย) "เก็งกำไร" ราคาทางพื้นฐาน 17.7 บาท 1)ได้ประโยชน์สูงสุดจากค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกที่เพิ่มขึ้นในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มทรงตัวหรือปรับลดลง 2)จำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ลดลงเป็นบวกต่อธุรกิจเนื่องจากหนุนประชาชนเดินทางออกนอกบ้านใช้บริการเติมน้ำมันจากปั๊มเพิ่มขึ้น 3)หุ้นซื้อขายที่ราคา PER ปี 2566 เพียง 14.9 เท่า หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต
- KCE (ดาโอ) "ทยอยซื้อ" เป้าเชิงกลยุทธ์ 55.00 บาท ราคาหุ้นมีโอกาส Bottom out และจะกลับมา Outperform หลังการประชุมเฟด การคลายล็อคดาวน์บางเมืองของจีน (ล่าสุดเมืองเฉิงตู) ช่วยผ่อนคลายความกดดันในกลุ่มอิเล็กทรอนิกและ Supply ของ Semi-Conductor Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 2.52 พัน ลบ. และ 2.96 พัน ลบ. +4%YoY, +18%YoY ตามลำดับ