นายสวิจักร์ โลจายะ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) คาดว่า รายได้ในปีนี้จะเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 322 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมายอดขายปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีก่อน รวมถึงอัตราการเข้าดูโครงการก็มีมากขึ้นหลังจากผู้บริโภคมีความมั่นใจและมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสที่ 1 ปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมี backlog ประมาณ 400 ล้านบาทที่จะรับรู้ในปีนี้ ส่วนใหญ่จากโครงการมายโฮมเทพารักษ์ และออฟฟิศบางนา
"ยอดขายเราปรับตัวดีขึ้น โดยดูจากจำนวนการขายบ้านของโครงการมายโฮม เทพารักษ์เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 หลังต่อเดือน จากเดิมไม่เกิน 5 หลังต่อเดือน ซึ่งเทพารักษ์มีมูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท" นายสวิจักร์ กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของกำไรในปีนี้ก็เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรประมาณ 6 ล้านบาท โดยจะเป็นกำไรเพิ่ม 5% ของยอดขายที่มาจากมาตรการภาษีของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาต้นทุนค่าก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น 20-30% จากราคาน้ำมัน โดยบริษัทได้มีการทยอยปรับแผนเพื่อควบคุมค้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับราคาขายบ้านเดี่ยวมาอยู่ที่ 3-4 ล้านบาท จากเดิม 5-6 ล้านบาท อีกทั้งระดับราคาบ้านดังกล่าวก็ถือว่าเหมาะกับสถานการณ์บ้านเดี่ยวในขณะนี้และความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงได้มีการปรับขนาดพื้นที่เหลือ 150-200 ตารางเมตร จากเดิม 250 ตารางเมตรขึ้นไป
นายสวิจักร์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาในการที่จะเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายโครงการในอนาคตและยังเป็นการรองรับกรณีเม็ดเงินจากการขายบริษัทลูกไปก่อนหน้านี้ เพราะก่อนหน้านี้ยังมีเม็ดเงินจากการขายบริษัทลูกมาพัฒนาโครงการ ซึ่งการเพิ่มทุนครั้งนี้จะไม่เกี่ยวกับการเพิ่มทุนที่บริษัทขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งก่อน เพราะเป็นกาเรพิ่มทุนเพื่อรองรับวอแรนท์ให้กับผู้ถือหุ้น โดยการประชุมผู้ถือหุ้นได้เลื่อนออกไปเป็น 18 เม.ย.เนื่องจากยังไม่ครบองค์ประชุมและบริษัทต้องการที่จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพ จากปัจจุบันที่บริษัทมีขนาดเล็กเกินไป โดยบริษัทวางแผนที่จะมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 300 ล้านบาทในระยะเวลา 3-5 ปี
"เราอยากทำให้บริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะตอนนี้เรามีขนาดเล็กมาก จึงทำให้ไม่สามารถเทียบชั้นกับบริษัทที่มีขนาดใหญ่และหากมีจำนวนทุนที่ใหญ่ขึ้นผู้ถือหุ้นก็น่าจะมีมากขึ้นไม่ได้เป็นเฉพาะที่ทุกคนมองว่าเป็นหุ้นเก็งกำไร และทางกลุ่มโลจายะตอนนี้ก็ไม่ได้มีหุ้นตัวอื่นก็อยากจะให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจในการทำธุรกิจของผม ซึ่งลึกๆ อยากให้ผลประกอบการดีกว่านี้"นายสวิจักร์ กล่าว
ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาในการที่จะซื้อที่ดินเพิ่มเติม 2 แห่ง คือที่ดอนเมือง ซึ่งได้วางงบในการซื้อที่ดินไว้ประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะเป็นเม็ดเงินจากการกู้และ cash flow ของบริษัทอีกทั้งบริษัทไม่ได้มีปัญหาในการกู้เงินเพราะปัจจุบัน D/E อยู่ในระดับ 1.1-1.2 เท่า และจะรักษาไม่ให้เกิน 2 เท่า
โดยในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการ 3-4 โครงการ แต่ยังไม่สามารถระบุถึงมูลค่าโครงการได้ โดยการขยายโครงการดังกล่าวบริษัทมีแลนด์แบงก์อยู่แล้วที่ศรีราชาจำนวน 8 ไร่ จะพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย อพาร์ทเม้นท์ เซอร์วิส ขณะที่ก็จะเปิดโครงการมายโฮมสุวินทวงศ์ และโครงการมายโฮมเชียงใหม่ ในช่วงไตรมาส 4 จากเดิมที่จะขายในช่วงต้นปีจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองทำให้เลื่อนมาขายในไตรมาส 4 แทน รวมทั้งการขยายเฟสที่ประชาชื่น
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/จำเนียร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--