ฟิทช์ ปรับแนวโน้มเครดิต SCC เป็น"ลบ"จากเดิม"มีเสถียรภาพ"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 9, 2008 16:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย ( SCC) เป็น"ลบ"จากแนวโน้มเดิม"มีเสถียรภาพ"
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ ยังคงอันดับเครดิตระยะยาวของ SCC และหุ้นกู้ของบริษัทที่ระดับ ‘A+(tha)’ รวมทั้งคงอันดับเครดิตระยะสั้นของ SCC ที่ระดับ ‘F1(tha)’
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงสภาวะที่อ่อนแอลงในธุรกิจหลักของ SCC อันเนื่องจากผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงอุปทานที่ล้นตลาดและความไม่แน่นอนของอุปสงค์ในระดับโลกในส่วนของธุรกิจหลัก ซึ่งอาจจะทำให้ผลประกอบการและระดับของอัตราส่วนกำไรของบริษัทลดความแข็งแกร่งลงไปอีกได้ รวมถึงทำให้ความคล่องตัวทางการเงินของบริษัทลดลงด้วย
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ SCC กำลังมีแผนลงทุนในระดับสูงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจหลักในช่วงปี 2551-2553 ขณะที่การเพิ่มขึ้นในส่วนของกำลังการผลิตของคู่แข่งอาจจะมีผลทำให้ SCC มีอัตราส่วนกำไรลดลงไปอีก และอาจจะทำให้ SCC ต้องเผชิญกับอัตราหนี้สินที่สูงเกินกว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ ถึงแม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะถูกลดทอนลงบ้างจากความสามารถในการปรับเปลี่ยนแผนลงทุนของบริษัทในช่วงปี 2552-2553 และความสามารถของ SCC ที่จะสร้างกระแสเงินสดจากการขายการลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไป
นอกจากนี้ แนวโน้มการอ่อนตัวลงของเศรษฐกิจโลกซึ่งเกิดจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังอาจจะทำให้สภาวะอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขาลงในธุรกิจหลักของ SCC โดยเฉพาะในธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 50% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของเครือ ลดลงมากขึ้นและอยู่ในช่วงขาลงที่ยาวนานขึ้น
SCC มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (ไม่รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม) ที่ระดับ 3.87 หมื่นล้านบาทในปี 2550 ซึ่งต่ำกว่าที่บริษัทประมาณการไว้กว่า 20% จากต้นทุนที่สูงขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาทที่มีผลต่อรายได้จากการส่งออก อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Operating EBITDA Margin) ลดลงต่อเนื่องมาที่ 14.5% ในปี 2550 จาก 25.3% ในปี 2547
อย่างไรก็ตาม SCC มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม) อยู่ที่ระดับ 2.1 เท่า ณ สิ้นปี 2550 จาก 1.9 เท่า ณ สิ้นปี 2549 ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทประมาณการไว้โดยเป็นผลจากระดับของกระแสเงินสดที่ใช้เพื่อการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้
เมื่อพิจารณาถึงแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มที่อ่อนตัวลงของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย บริษัทคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม) น่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.5-3.0 เท่า ในช่วงปี 2551-2552 ในขณะที่การเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินให้ลงมาที่ระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าได้ภายในสิ้นปี 2553
SCC มีแผนการลงทุนหลักจำนวน 5.7 หมื่นล้านบาทระหว่างปี 2551 ถึงปี 2553 ประกอบด้วยเงินลงทุนในโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่สองและโครงการปิโตรเคมีปลายน้ำ โครงการสร้างโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ในประเทศเวียดนาม โครงการเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศของกระดาษพิมพ์เขียน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธุรกิจปูนซีเมนต์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการลงทุนเพิ่มเติมอีก 3.5 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยโครงการเพิ่มเติมดังกล่าวนี้ SCC มองว่าสามารถที่จะปรับลดระดับของการลงทุนหรือเลื่อนเวลาการลงทุนออกไปได้ถ้าหากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมองว่าอาจจะมีผลกระทบต่ออัตราส่วนหนี้สินระยะยาวของ SCC
ฟิทช์กล่าวว่าการลดลงของอัตราส่วนกำไรอย่างต่อเนื่องและระดับของหนี้สินสุทธิที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของ SCC ได้ ในทางตรงกันข้าม ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งซึ่งส่งผลให้ระดับของอัตราส่วนหนี้สินปรับลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวที่บริษัทกำหนดไว้ที่ 2.5 เท่า หรือต่ำกว่านั้นได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยทำให้แนวโน้มอันดับเครดิตของ SCC มีเสถียรภาพมากขึ้น
SCC เป็นบริษัทอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทยโดยมีทรัพย์สินรวม 2.49 แสนล้านบาทและมีรายได้สุทธิ 2.68 แสนล้านบาทในปี 2550 หลังจากเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 SCC มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยแบ่งออกเป็น 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจกระดาษ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจจัดจำหน่าย และมีการขายเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไป SCC มีผู้ถือหุ้นหลักเป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (CPB)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ