โพลนักวิเคราะห์โค้งแรกให้เป้า SET ปิดสิ้นปี 1,741 จุด EPS โต 7% จับตาจีนเปิดเมือง-เลือกตั้งไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 4, 2023 16:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โพลนักวิเคราะห์โค้งแรกให้เป้า SET ปิดสิ้นปี 1,741 จุด EPS โต 7% จับตาจีนเปิดเมือง-เลือกตั้งไทย

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนักเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนปี 66

  • ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ไตรมาสแรกของปีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 65 โดยคาดว่าจะปิดสิ้นไตรมาสที่ 1,694 จุด
  • กรอบการแกว่งตัวของ SET ทั้งปีในกรอบ 1,554-1,773 จุด
  • ดัชนีปิดสิ้นปี 66 ที่ 1,741 จุด

ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 66 คาดการณ์ที่เฉลี่ย 105.34 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อนที่ 100.36 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 66 อยู่ที่ 7.06%

การแสดงความเห็นดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานหลัก การปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้จาก 98.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 87.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยที่ 3.60%

นักวิเคราะห์ยังแสดงความเห็นต่อทิศทางการลงทุนในปี 66 จะได้รับผลบวกที่ชัดเจนจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีผู้โหวตถึง 96.15% และผลประกอบการ บจ.ปี 66 มีผู้โหวต 80.77% ตามมาด้วย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้โหวต 76.92% และปัจจัยการเมืองในประเทศ มีผู้โหวต 73.08%

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตมากถึง 88.46% รองลงมาคือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 62.96% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 53.85%

ปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสแรก ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าการกลับมาเปิดประเทศของจีน และการเลือกตั้งภายในประเทศ

ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2566 นักวิเคราะห์ทุกสำนักคาดว่ามีการปรับขึ้น โดย 46.15% คาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% รองลงมามี 42.31% มองว่าปรับขึ้น 0.75% ส่วนที่เหลือมีผู้ตอบ 7.69% ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% และมี 3.85% ที่มองว่าปรับขึ้น 1% หรือมากกว่าตามลำดับ

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

-เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12%

-กองทุนตราสารหนี้ 20.12%

-หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.52%

-หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.60%

-กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.52%

-ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.92%

-อื่นๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน 0.32%

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ / กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นจีน และเวียดนามจากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

1. ADVANC เป็นหุ้น Defensive ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอราว 4% ต่อปี และประมาณการณ์กำไรมี Upside จากการต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจการเงิน คือ Virtual Bank

2. AOT มองว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัวฃ

3. BBL โดยมองว่าได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ภาคธุรกิจ

4. COM7 ปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยที่สูงขึ้น 2) การครอบครองมือถือ 5G ที่สูงขึ้น และ 3) เดินหน้าขยายสาขา 150 แห่งตามแผนต่อเนื่อง (ปี 2022 ขยายไปแล้ว 113 สาขา)

5. CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคฟื้นตัวต่อรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนการขยายตัวของ Same Store Sales Growth (SSSG)

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังพรรคการเมืองเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ถัดมา นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ชะลอการเก็บภาษีหุ้น อีกทั้งพัฒนาฝีมือแรงงาน / ระบบการศึกษาไทย และตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ขยายตลาดส่งออก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ