BCP ยันดีล ESSO 5.5 หมื่นล้านดัน D/E เป็น 1.7 เท่า "ถูกและดี" สมความตั้งใจ M&A โรงกลั่น 2

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 12, 2023 16:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยภายหลังประกาศดีลซื้อกิจการ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ว่า การซื้อกิจการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนที่อยู่ในแผน เนื่องจากเมื่อ 4 ปีก่อนบริษัทมีความตั้งใจที่จะมีโรงกลั่นที่ 2 ผ่านการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็มีโรงกลั่นมากกว่า 1 แห่งเข้ามาเสนอขาย และหนึ่งในนั้นก็คือ ESSO

สำหรับดีล ESSO ถือว่าซื้อมาได้ในราคาที่ถูก โดยตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/65 ของ ESSO จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคากระดาน และการซื้อกิจการครั้งนี้ก็ไม่ได้นำมูลค่ากิจการโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ และโรงพาราไซลีน เข้ามาคำนวณด้วย เรียกได้ว่าได้มาฟรี จึงทำให้มูลค่าการลงทุนรวมทั้งหุ้นและหนี้ของ ESSO ไม่สูง หรืออยู่ที่ประมาณ 55,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล

กระบวนการหลังจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเสนอต่อผู้ถือหุ้นอนุมัติในต้นเดือนเม.ย.นี้ จากนั้นจะขออนุญาตจากภาครัฐ คาดว่าดีลจะเสร็จสิ้นได้ในเดือน ส.ค.-ก.ย.66 หรือหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล ก็จะทำให้ดีลนี้แล้วเสร็จอย่างช้าในเดือนธ.ค.66 หรือปี 67

"การซื้อ ESSO จะส่งผลดี ใน 3 ด้าน คือ ดีต่อประเทศ จากที่ได้โครงสร้างพื้นฐานมาอยู่ในมือคนไทย เพิ่มความมั่นคง และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับประเทศ, ดีต่อผู้บริโภค จากมีสถานนีบริการย้ำมันเพิ่มขึ้น รองรับความต้องการใช้น้ำมันที่มีมาตรฐาน และ ดีต่อบางจาก ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความมั่นคงมากขึ้นแล้ว บางจากยังมีโรงกลั่นเพิ่มเป็น 2 โรง ส่งผลทำให้มีกระแสเงินสดมาต่อยอดการเติบโต" นายชัยวัฒน์ กล่าว

ส่วนแผนการดำเนินงานภายหลังจากซื้อกิจการ ESSO ได้สำเร็จ เบื้องต้นบริษัทฯ จะดำเนินการปรับปรุงปั๊มน้ำมัน ESSO ที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นปั๊มน้ำมันบางจาก ขณะเดียวกันก็ยังมุ่งเน้นการทำเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ควบคู่กันไป

ด้านนางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน BCP กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมกระแสเงินสดและเงินกู้จากสถาบันการเงิน เพื่อรองรับการซื้อหุ้นและหนี้ของ ESSO ไว้ครบถ้วนแล้ว คาดว่าจะใช้เงินทั้งหมด 55,500 ล้านบาท ขณะที่การซื้อหุ้นดังกล่าวจะส่งผลให้หนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.7 เท่า จากเดิม 0.6 เท่า มองว่าไม่ได้สูงเกินไป เนื่องจากยังไม่เกิน 2 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ