EGCO ฝ่าวิกฤติพลังงานโลกกดดันกำไรปี 65 ลั่นลุยต่อบิ๊กโปรเจ็คต์วินด์ฟาร์ม "หยุนหลิน" หลังโควิดจาง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 1, 2023 10:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยว่า ในปี 65 อุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาพลังงานโลกและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ผลประกอบการในปี 2565 ของเอ็กโก กรุ๊ป สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตการณ์ราคาพลังงานปี 2565 ได้ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงและภาวะเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ รายได้และกำไรจากการดำเนินงานยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะเดียวกันยังสามารถขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ไฮไลท์ทางธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป ในปี 65 ได้แก่ การเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า "น้ำเทิน 1" สปป.ลาวกำลังผลิตรวม 650 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นเพิ่ม 10% เพื่อถือหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า "ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม" และ "เทพพนา วินด์ฟาร์ม" จ.ชัยภูมิ การซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้า "ไรเซ็ก" สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 609 เมกะวัตต์ และการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า "สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่" อินโดนีเซีย

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ ลงนาม MOU ศึกษาและพัฒนาแผนงานด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในโรงไฟฟ้าของเอ็กโก กรุ๊ป

สำหรับผลประกอบการปี 65 มีรายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า "พาจู อีเอส" เกาหลีใต้ "ไซยะบุรี" สปป.ลาว "ซานบัวนาเวนทูรา" ฟิลิปปินส์ "ขนอม" จ.นครศรีธรรมราช และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ

ขณะที่กำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 64 สาเหตุมาจากการรับรู้การด้อยค่าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและโรงไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ ได้แก่ การรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนของโรงไฟฟ้า "สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่" และการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ "หยุนหลิน"

นายเทพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการ "หยุนหลิน" เอ็กโก กรุ๊ป และพันธมิตรเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งเป็นการก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด การรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการนี้เกิดจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติและอยู่เหนือการควบคุม โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากไต้หวันมีมาตรการเข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศถึง 2 ครั้งในช่วงปี 63-65 ทำให้กระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เครื่องมือในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่ก่อสร้างบริเวณช่องแคบไต้หวัน มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุม โดยในแต่ละปีมีระยะเวลาทำงานหลักจำกัดเพียง 6 เดือนเท่านั้น ส่งผลให้กำหนดแล้วเสร็จของโครงการจำเป็นต้องขยายออกไปจนถึงปี 67

อย่างไรก็ตาม เอ็กโก กรุ๊ป ขอยืนยันว่าบริษัทยังมีสภาพคล่องสูงในการลงทุนโครงการอื่น ๆ และมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้บริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 66 นายเทพรัตน์ กล่าวว่า เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดความสำเร็จและแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของพลังงาน รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่น เช่น ไฮโดรเจน ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ยื่นข้อเสนอในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ FiT ของภาครัฐ โดยผ่านการพิจารณาเบื้องต้น 16 โครงการ ทั้งประเภทโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) รวมกำลังผลิตกว่า 300 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า "เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย" กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ม.ค.67


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ