SELIC ยื่นไฟลิ่ง "พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์" ขาย IPO 115.715 ล้านหุ้น-เข้า mai

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 17, 2023 09:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) ส่งบริษัทย่อย คือ บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 115,715,000 หุ้น หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจ (Sector) สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น ประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม, ลงทุนขยายกำลังการผลิตและชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง, ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อสินค้า และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

PMC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ โดยจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษอื่นๆ โดยลูกค้าอยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์ฉลากสินค้า (Printers) และผู้ผลิตฉลากสินค้า (Converters) เป็นหลัก เพื่อนำไปออกแบบ จัดพิมพ์ลวดลายและตัดให้ได้รูปทรง เป็นฉลากสินค้าให้แก่ลูกค้าเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือ End Users อีกทอดหนึ่ง

บริษัทจำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านบริษัทเอง และ 2 บริษัทย่อย คือ PMC Label Materials PTE., Ltd. (PMCS) ในสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. (PMCM) ในมาเลเซีย ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 60% ส่วนอีก 40% จำหน่ายให้แก่ลูกค้ากว่า 15 ประเทศทั่วโลก โดยมีฐานลูกค้าหลักในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม

ปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน 1 แห่ง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร กำลังการผลิตสติ๊กเกอร์ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี ขณะที่ลงทุนขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี มูลค่าลงทุนราว 190 ล้านบาท อยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์และคาดเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/67 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ถือว่าใหญ่สุด 3 ลำดับแรกของผู้ประกอบการในประเทศไทย

บริษัทวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า (Sticker Label) ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า ด้วยการลงทุนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม เพื่อดึงดูดฐานลูกค้าใหม่กลุ่มผู้ผลิตฉลากสินค้าข้ามชาติชั้นนำ (Global Converters) ที่ส่วนใหญ่จะรับงานผลิตฉลากสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ในภูมิภาค

บริษัทมีรายได้ส่วนใหญ่ 68% มาจากสติ๊กเกอร์กระดาษ ส่วนอีก 31% มาจากสติ๊กเกอร์ฟิล์ม เช่น ลามิเนต (Laminate) พีวีซี (PVC) โพลีโพรพิลีน (PP) และโพลีเอทิลีน (PE) เป็นต้น และส่วนที่เหลือ 1% มาจากสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษอื่นๆ เช่น อลูมินัมฟอยล์ (Aluminum Foil) และโฮโลแกรม เป็นต้น โดยในอนาคตคาดว่ารายได้จากสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษอื่นๆ จะเพิ่มขึ้นตามผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ฉลากยางรถยนต์ (Tire Label) และสติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในปีนี้

ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายสู่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยจะรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ด้แก่ กลุ่มลูกค้าโรงพิมพ์และผู้ผลิตฉลากสินค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและอาเซียน มีเป้าหมายเพิ่มศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) ครบ 5 แห่ง

บริษัทยังตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตรากำไรผ่านแนวทางต่างๆ เช่น การเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ฟิล์ม เจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตฉลากสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภค และเจาะกลุ่มลูกค้า End Users โดยตรงเพื่อให้เกิดการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ (Spec-in) และเกิดการสั่งผลิตในรูปแบบ Project-based Order จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้อัตรากำไรสูงขึ้นในอนาคต และในระยะยาวบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อเพิ่มอัตรากำไรและตอบสนองต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว

โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 7 เม.ย.66 มี SELIC ถือหุ้น 100% ภายหลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 70%

ในช่วงปี 63-65 บริษัทมีรายได้รวม 696.7 ล้านบาท 814.6 ล้านบาท และ 861.1 ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิ 40.5 ล้านบาท 41.1 ล้านบาท และ 18.0 ล้านบาท ตามลำดับ

อัตรากำไรที่ปรับตัวลดลงในปี 65 สาเหตุหลักจากต้นทุนการผลิตสินค้าได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันหลายประการ เช่น ราคาวัตถุดิบยังคงสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก อัตราค่าระวางเรือที่ถึงแม้จะเริ่มปรับตัวลดลงแต่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ

ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 708.8 ล้านบาท หนี้สินรวม 439.5 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 269.3 ล้านบาท

บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ในแต่ละปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ