KKตั้งเป้าปีนี้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ 3.5หมื่นลบ.ปรับกลยุทธ์ป้องกัน NPL

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 28, 2008 17:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ 3.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ พร้อมปรับประบวนการเร่งรัดและติดตามหนี้เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสีย 
เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ เป็นยอดการปล่อยสินเชื่อสุทธิที่ 15,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 35% ซึ่งจะทำให้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเติบโตจาก 42,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 50 เป็น 57,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ โดยในช่วงไตรมาส 1/51 สินเชื่อเช่้าซื้อเติบโตถึง 15% เป็นผลมาจากการที่ธนาคารได้เพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาดและเปิดสาขาเพิ่ม รวมทั้งได้รับผลดีจากยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 เดือนแรกของปี
"สินทรัพย์รวมของธนาคาร ประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก โดยในไตรมาส 1 นี้ธนาคารมีสัดส่วนราว 50% ส่วนการทำตลาดนั้น ธนาคารจะมุ่งเน้นทำตลาดในภูมิภาคมากขึ้น" นายธวัชไชย กล่าว
พร้อมกันนั้น ธนาคารยังได้ปรับกระบวนการเร่งรัดและติดตามหนี้ลูกค้าที่ส่อผิดนัดชำระหนี้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคารโดยเฉพาะลูกค้าในเขตต่างจังหวัด เพื่อป้องกันการเร่งตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)แม้ในช่วงไตรมาสแรกตัวเลขไม่สูงมากที่ 1.9% ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 50 ซึ่งอยู่ที่ 2.7% และวางเป้ารักษาสัดส่วน NPLของสินเชื่อประเภทนี้ไม่ให้เกิน 2.0% ภายในสิ้นปีนี้และมี NPL รวมไม่เกิน 8.0%
ด้านน.ส.ฐิตินันท์ วัธนเวคิน ประธานสายธุรกิจเงินฝากและการตลาด KK ระบุว่า ธนาคารมีแผนปรับโครงสร้างเงินฝากใหม่ โดยปรับลดฐานการรับฝากเงินขั้นต่ำจาก 500,000 บาทขึ้นไปเหลือเพียง 100,000 บาทขึ้นไป ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดให้บริการลูกค้าระดับกลางมากขึ้นเพื่อรองรับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโตเงินฝากและเงินกู้ยืมที่ 20% หรือเป็น 1 แสนล้านบาทจากฐานปัจจุบันที่ 78,126 ล้านบาท โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์เงินฝากให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น เงินฝากพ่วงประกันชีวิต รวมถึงการออกตราสารหนี้และตั๋วบี/อีซึ่งขณะนี้มีฐานอยู่ที่12,500 ล้านบาท และภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนการระดมทุนผ่านการออกตั๋วบี/อีจะเร่งขึ้นเป็น 30% ของพอร์ตเงินฝากทั้งหมด
นอกจากนี้ธนาคารจะลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนเงินฝากในต่างจังหวัดเร่งตัวขึ้นเป็น 15%และที่เหลือจะอยู่ในส่วนของกรุงเทพและปริมณฑล

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ