บมจ.การบินไทย (THAI) สายการบินแห่งชาติ ณ วันนี้เตรียมแผนธุรกิจหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ เมินเป้าหมายปีนกลับขึ้นไปเป็นสายการบินระดับ Top ของโลก เพราะห้วงเวลานี้ภาพลักษณ์ระดับโลกไม่ได้สำคัญเท่ากับการเดินหน้าหารายได้และสร้างผลกำไรเพื่อพลิกฟื้นธุรกิจสู่ความแข็งแกร่ง เนื่องด้วยสถานการณ์ธุรกิจการบินปัจจุบันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การขับเคลื่อนองค์กรต้องอาศัยความรวดเร็วฉับไว การวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยนำพาองค์กรให้มีความสามารถแข่งขันได้และไม่กลับไปอยู่ในภาวะลุ่มๆ ดอนๆ อีกต่อไป
THAI จึงวางทิศทางอนาคตหลังออกจากแผนฟื้นฟูฯ ในไตรมาส 3/67 เดินหน้าธุรกิจด้วยการขยายเครือข่ายพันธมิตรการบิน เพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางข้อจำกัดด้านฝูงบินที่ทำให้ยังไม่สามารถเพิ่ม Capacity ด้วยตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เพราะบริษัทอยู่ระหว่างวางแผนจัดหาเครื่องบินเพิ่มช่วง 10 ปีข้างหน้าคาดว่าจะมีข้อสรุปต้นปี 67
โมเดลใหม่ของธุรกิจ THAI ประกอบด้วย งานบริการภาคพื้นดิน (Ground Services) งานครัวการบิน (Catering) งานบริการขนส่งทางอากาศ (CARGO) รวมถึงปัดฝุ่นโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภา พร้อมวางกลยุทธ์จับมือพันธมิตรเข้ามาเสริมในแต่ละธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น และเพิ่ม Value ให้กับธุรกิจเหล่านี้ ภายใต้การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนและบริษัทย่อย
*กางแผนระยะยาวจัดหาเครื่องบินรองรับ 10 ปีข้างหน้า
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าวว่า หลังจากการบินไทยหลุดจากสถานะรัฐวิสาหกิจมาเป็นบริษัทเอกชนทำให้สามารถทำธุรกิจได้หลากหลายมากขึ้น ตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น มีความเป็นอิสระในการบริหารงานมากขึ้น และทำงานได้อย่างรอบคอบมากขึ้น
แต่เมื่อธุรกิจการบินฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้การจัดหาเครื่องบินไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทจึงเริ่มวางแผนหาเครื่องบินเข้ามาเพิ่มในฝูงบินในระยะ 10 ปีข้างหน้า โดยจะประเมินจำนวนเครื่องบินที่ต้องการใช้ทั้งหมดเพื่อเสริมทัพ ซึ่งระหว่างนี้บริษัทกำลังศึกษาเพื่อจะจัดหาเครื่องบินเข้ามาเริ่มทยอยตั้งแต่ปี 2027 (พ.ศ.2570) เป็นต้นไป คาดว่าจะสามารถสรุปแผนจัดหาเครื่องบินได้ต้นปี 67 โดยมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาด้วย ได้แก่ การผลิตเครื่องบินในตลาด ซึ่งปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการ และอีกอย่างคือเรื่อง ความสามารถทางการเงินของบริษัท
"ต่อไปในอนาคต ปฏิเสธไม่ได้ว่า Core Business ของการบินไทยคือการบิน ยังไงการบินไทยก็ต้องอาศัย Core Business ในการหารายได้ เครื่องมือในการทำมาหากินของการบินไทยก็คือ เครื่องบิน สิ่งที่เราจะได้ในตอนนี้คือวางแผนในอนาคตว่าต่อไปอีก 10 ปี การบินไทยควรมี Capacity เท่าไหร่ที่จะสามารถยืนหยัดในตลาดการแข่งขันได้"นายชาย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"*ขยายพันธมิตรการบิน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI ระบุว่า ในอนาคตการบินไทยต้องมีพันธมิตรธุรกิจการบินมากชึ้นเพื่อจะขยายเครือข่ายทางธุรกิจ โดยที่ไม่ต้องทำการบินด้วยตัวเองในทุกเส้นทางบิน เพราะขณะนี้การบินไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องเครื่องบิน
ล่าสุด การบินไทยเซ็นสัญญากับ "เตอร์กิชแอร์ไลน์" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญ เพราะสายการบินเตอร์กิชมีเน็ตเวิร์คครอบคลุมมากที่สุดในโลก ขณะที่การบินไทยอยู่ในภาวะที่มีเครื่องบินจำกัด และเตอร์กิชแอร์ไลน์ก็อยากได้การบินไทยเป็นพันธมิตรเพื่อจะขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งสองสายการบิน ยังเป็นสมาชิกสตาร์อัลไลแอนซ์ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการขายตั๋วเครื่องบิน การทำโค้ดแชร์ และคาดหวังว่าจะมีความร่วมมือมากขึ้นไปถึงขั้น JV Corporation ที่บินร่วมกันและแบ่งรายได้ระหว่างกัน ที่จะได้ประโยชน์มากกว่าโค้ดแชร์ ซึ่งยอมรับว่าต้องใช้เวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
และยังมีอีกหลายสายการบินที่จะเจรจาไปถึงขั้น JV Corporation ขณะเดียวกันความร่วมมือแบบ Code Share กับสายการบินอื่นๆ ปัจจุบันการบินไทยก็มีแทบทุกเส้นทางอยู่แล้ว
"ผมว่าการบินไทยโดดๆ สู้ยาก ต้องหาพันธมิตรสายการบิน อันที่สองพันธมิตรในประเทศ เช่น AOT หรือ ท่าอากาศยานไทย เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่มีความร่วมมือกันมากขึ้น การบินไทยดี AOT ก็ดีด้วย เพราะเราคือ Major Customer Major Airline ที่ใช้บริการ AOT ดี แอร์พอร์ตให้บริการดีการบินไทยก็ดีด้วย"สิ่งที่ยังเป็นปัจจัยหนุนให้กับบริษัท แม้จะไม่ได้มีสถานะรัฐวิสาหกิจอีกต่อไปแล้ว แต่การบินไทยยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม ที่มีความเข้าใจถึงแผนธุรกิจของบริษัท และเข้าใจสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับสายการบินอื่น จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องผ่อนปรนกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนให้มีการดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ดี นายชาย กล่าวยอมรับว่า คงไม่สามารถจะนำการบินไทยกลับขึ้นมาเป็นสายการบินอันดับต้นๆ ของโลกเหมือนในอดีตได้ เนื่องจากบริบทเปลี่ยนไปจากเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว เพราะขณะนั้นยังไม่มีสายการบินต้นทุนต่ำ ไม่มีสายการบินจากประเทศแถบตะวันออกกลางมากเช่นทุกวันนี้
ส่วนธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการบิน ไม่ว่าจะเป็น Catering , MRO, Ground Service , Cargo เราก็มีการศึกษาว่าเราสมควรจะหาพันธมิตรธุรกิจมาร่วมขยายธุรกิจ ซึ่งแนวโน้มก็ต้องขยายไปมากขึ้น โดยตามแผนปรับโครงสร้างบริษัทในแผนฟื้นฟูกิจการก็จะมีการจัดตั้งเป็นบริษัทย่อยตามแต่ละธุรกิจ อาจจะมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อเพิ่ม Value ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างธุรกิจ Cargo ได้เซ็นสัญญากับ กลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) เพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณา Valuation ของธุรกิจ แต่การบินไทยก็ไม่ได้ปิดกั้นพันธมิตรเฉพาะเพียงรายเดียว
ส่วน MRO ขณะนี้ได้พูดคุยกับทางสำนักงานคณะกรรมการเขตพัมนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่เราจะลงทุนที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อปัดฝุ่นโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานซึ่งเป็นโครงการเดิมอีกครั้งหนึ่ง เพราะโมเดลธุรกิจอาจจะต้องเปลี่ยนไป
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากธุรกิจสายการบินเป็นหลัก 90% ส่วนธุรกิจจากหน่วยธุรกิจ 3 หน่วยได้แก่ ครัวการบิน, งานบริการภาคพื้นดิน และคาร์โก้ มีสัดส่วนรวมกัน 10%
นายชาย กล่าวว่า เนื่องจากการบินไทยยังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ การจะดำเนินการใด ๆ ก็ยังมีข้อจำกัด อาทิ การขายทรัพย์สิน แต่การบินไทยก็ไม่สามารถรอจนกว่าบริษัทออกจากแผนได้ เพราะจะช้าเกินไป อาจต้องมีการพูดคุยกับคณะกรรมการเจ้าหนี้ว่าบางธุรกิจเราสามารถทำได้ก่อนออกจากแผนหรือไม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง หรือพาร์ทเนอร์ที่เขาสามารถจะสร้าง Value Added มาให้การบินไทยได้ชัดเจน ก็เห็นว่าต้องรีบดำเนินการ เพราะโอกาสทางธุรกิจไม่ได้มาง่ายๆ
"ย้อนหลังไป 2-3 ปี ถ้าเราวางเป้าหมายยาวเกินไป เราก็จะเหนื่อย ผมมองเป้าหมายสั้นก่อน ให้เป็นขั้นเป็นตอนไป ?วันนั้นเราต้องทำตัวเองให้รอดก่อน ที่ผมเปรียบเปรยว่าเราเหมือนอยู่ในไอซียู ตอนนี้เราออกมาแล้ว วันนี้เป้าหมายคือเราออกจากแผน ก็สื่อให้เห็นว่า การบินไทยเดินต่อได้ เป้าหมายที่สามซึ่งอยู่ไม่ไกล จากเป้าหมายที่สองคือการเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Resume Trade) ส่วนต่อไปอนาคตระยะยาว เราผู้บริหารแผนก็จะสามารถจะวางแผนการเจริญเติบโตเท่าที่ขีดจำกัดของเราที่จะทำได้" นายชาย กล่าวทิ้งท้ายhttps://youtu.be/H1Yctgf_R5Y