WINDOW เคาะราคา IPO 2.10 บาท เปิดจองซื้อ 16-18 ต.ค. เข้าเทรด SET

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 12, 2023 17:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

WINDOW เคาะราคา IPO 2.10 บาท เปิดจองซื้อ 16-18 ต.ค. เข้าเทรด SET

นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบมจ.วินโดว์ เอเชีย (WINDOW) ผู้ผลิตและจำหน่ายประตูหน้าต่างสำเร็จรูปอลูมิเนียมและยูพีวีซี เปิดเผยว่า WINDOW ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ WINDOW จำนวน 244.20 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.10 บาท กำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม 2566 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเร็วๆ นี้ ในหมวดธุรกิจ (Sector) อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง

"WINDOW แต่งตั้งบล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ทำหน้าที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หรือ Lead Underwriter หลัง WINDOW ได้ยื่นเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนรวมไม่เกิน 244.20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ครอบครัวรัตนศิริวิไล ถือหุ้นรวม 98.68% และจะลดสัดส่วนหลัง IPO เหลือ 71.54% ซึ่งการเข้าระดมทุนไอพีโอ ครั้งนี้ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับ WINDOW" นางสาววีรยา กล่าว

พร้อมกันนี้ ได้แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 ราย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

นางสาวเศรษฐลักษณ์ ณรงค์วโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จุดเด่นของ WINDOW คือ เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตูและหน้าต่างสำเร็จรูปเจ้าแรกที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ WINDOW ยังเป็นผู้นำด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและเป็นผู้นำด้านการให้บริการ โดยวินโดว์ เอเชีย เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว ที่กล้า รับประกันประตูและหน้าต่างตลอดอายุการใช้งาน

สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 2563-2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 747.50 ล้านบาท, 835.51 ล้านบาท และ 913.35 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรขั้นต้น 220.33 ล้านบาท, 247.37 ล้านบาท และ 239.67 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 73.10 ล้านบาท, 99.28 ล้านบาท และ 74.52 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรก ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 526.88 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 42.05 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวม 536.02 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64.56 ล้านบาท

นอกจากนี้ WINDOW มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

นายธนินทร์ รัตนศิริวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร WINDOW เปิดเผยว่า ทิศทางครึ่งปีหลังคาดรายได้และกำไรของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าในไตรมาส 3/66 จะเป็นช่วงนอกฤดูกาลของการขายวัสดุก่อสร้างเนื่องจากเป็นหน้าฝน แต่ในไตรมาส 4/66 เป็นช่วง High season ของการดำเนินธุรกิจบริษัท ซึ่งบริษัทได้มองหาโอกาสใหม่ทั้งงานโครงการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทยอยออกมา รวมทั้งการเข้าระดมทุนในครั้งนี้บริษัทเตรียมนำเงินไปขยายกำลังการผลิตและเป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ โดยคาดว่ารายได้ในปี 66 จะเติบโตจากปีก่อนมากกว่าตัวเลขสองหลักตามเป้า

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้วัสดุอลูมิเนียม (Aluminum) ที่ 65% และเส้นยูพีวีซี (Unplasticized Polyvinyl Chloride: UPVC) 35% ซึ่งรายได้จาก UPVC มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากมีการปรับเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ดีขึ้น อาทิการเก็บเสียงที่ดีขึ้น มีความคงทนแข็งแรง และวัสดุไม่นำความร้อนทำให้บ้านเย็น ทั้งนี้คาดว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้จะเติบโตขึ้น

ทั้งนี้กำลังการผลิตของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 600,000 ชุดต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 800,000 ตารางเมตรต่อปี โดยกำลังการผลิตสามารถผลิตได้สูงสุดมากกว่า 1 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำมาขยายกำลังการผลิตโดยการก่อสร้างโรงงานใหม่ เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถขยายกำลังการผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 50% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตลาดที่จะขยายช่องทางและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย

นอกจากนี้แผนการขยายตลาดในต่างประเทศ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการผลิตและจำหน่ายประตูหน้าต่างสำเร็จรูปอยู่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความนิยมในหลายประเทศ อาทิ อเมริกา หรือในเอเชียแปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศดังกล่าวมีห้างร้านค้าปลีกที่คล้ายกับประเทศไทย บริษัทได้มีการตรวจสอบและศึกษาตลาดเหล่านี้และมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าของบริษัทไปขาย อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้บริษัทเคยนำเอาสินค้าไปขายที่ฟิลิปปินส์ แต่ได้รับผลกระทบช่วงโควิด-19 จึงหยุดชะงักไป แต่ปัจจุบันมีหลายประเทศที่บริษัทได้พูดคุยหารือความเป็นไปได้ในการขยายตลาด

"ปัจจุบัน WINDOW มีโรงงานอยู่ 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับปริมาณยอดขายของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มสายการผลิตใหม่ไปยังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทฯ ในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืนให้กับธุรกิจ" นายธนินทร์ กล่าว

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมในทุกภูมิภาคของประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ วางจำหน่ายมีจำนวนรวมกันกว่า 653 แห่ง และสำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายทางตรงนั้น บริษัทฯ ได้จัดตั้งร้านค้าวินโดว์ เอเชีย ซึ่งเป็นร้านค้าของตนเองที่มีจำนวน 42 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบัน โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่าพื้นที่ของโครงการของไดนาสตี้ ซึ่งเป็นสาขาของบมจ. ไดนาสตี้ เซรามิค (DCC) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าของตนเองและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มาใช้งาน ซึ่งบริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายสาขาร้านค้าวินโดว์ เอเชีย ให้ครบ 50 สาขา ภายในปี 2566

นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ยังมีวางจำหน่ายผ่านร้านค้าวินโดว์ เอเชีย ("Window Asia Shop") ซึ่งเป็นหน้าร้านของบริษัทฯ หรือช่องทางออนไลน์ (Online) ของบริษัทฯ บนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เช่น หน้าเว็บไซต์ (Website) เฟซบุ๊ก (Facebook) บัญชีไลน์ ออฟฟิเชียล (LINE Official Account) ลาซาด้า (Lazada) ช้อปปี้ (Shopee) และน็อคน็อค (NocNoc) เป็นต้น

นายธนินทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับ WINDOW เพราะการเข้าจดทะเบียนต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ WINDOW รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากขึ้น ส่งผลเชิงบวกทำให้เกิดการเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการหาและเข้าร่วมลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะสนับสนุนการขยายตัวและเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ