ปีนี้นับว่าตลาดหุ้นไทย ย่ำแย่สุดๆ หุ้นในพอร์ตแดงพรึ่บ!! นี่ก็ใกล้จะหมดปี 66 ดัชนี SET จะลงไปกว่านี้ไหม แล้วปีหน้าล่ะ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวกับ"อินโฟเควสท์" ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันลงไปลึกถึง 16-17% โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.ลงไปหนักมาก ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสถานการณ์โลก และ Valuation ของตลาดหุ้นก็ถูกลง
ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยรับแรงกดดันจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ท่ามกลางภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส แต่ถ้าไม่มีปัจจัยพวกนี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ ซึ่งปัจจุบัน มองว่าตลาดหุ้นไทยมี Downside จำกัด ความกลัวเรื่องดอกเบี้ยและเงินเฟ้อถูกจำกัดออกไปแล้ว ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงมีความเสี่ยงลดล
ทั้งนี้ นายเทิดศักดิ์ มอง SET Index สิ้นปี 66 มีโอกาสขึ้นไปแกว่งอยู่ที่ 1,520-1,524 จุด หากมีปัจจัยบวกเข้ามาเพิ่มเติม
"ภาพจากตรงนี้ไป น้ำหนักที่กดทับหรือปัจจัยที่ขวางอยู่ น่าจะลดลงเรื่อยๆ ระดับความเสี่ยงของหุ้นลดต่ำลง โอกาสขยับตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ ประเมินสิ้นปี 66 โอกาสขยับมา 1,400 ปลายๆ-1,500 จุด หรือถ้ามีปัจจัยบวกเข้ามามาก ก็อยู่ที่ 1,520-1,524 จุด"ส่วนทิศทางตลาดหุ้นปี 67 ยังเห็นภาพดีขึ้นต่อ เพราะปัจจัยแรก คือ เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว GDP จะกลับมายืนเหนือช่วงก่อนโควิด และกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มกลับมามากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดเช่นกัน แต่ดัชนี SET ยังต่ำกว่าช่วงโควิด ซึ่งในสิ้นปี 62 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,579 จุด
ดังนั้น จะเห็นว่า Valuation หุ้นไทยยังถูก ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่ที่สร้างแรงกดดันเข้ามาเพิ่มอีกก็น่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ โดยภาวะดอกเบี้ยในปัจจุบันก็นิ่ง และมีโอกาสปรับลดลงในปีหน้า เงินเฟ้อก็อยู่ในช่วงขาลง อย่างไรก็ดี ปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีความไม่แน่นอน แต่หากไม่เกิดขึ้นภาพตลาดหุ้นจะดูดีขึ้น
"ตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ถ้าหากไม่มีปัจจัยความไม่แน่นอน หวังว่าความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะไม่มีอะไร ตลาดการเงินมีความนิ่ง Earning Growth ของบริษัทจดทะเบียนเติบโต และไทยไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย ในปี 67 ดัชนี SET มีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุดได้"ขณะที่ บล.เอเชียพลัส ประมาณกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปี 67 ที่ 99.8 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น Double digits ยังไม่ได้รวมปัจจัยเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต
และจากการประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากรวมเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตคาดว่าจะผลักดันให้ GDP เติบโตได้ถึง 4.4% ส่วนกระทรวงการคลังคาดว่าหากไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต GDP ปี 67 จะเติบโต 3.2% จะเห็นว่ามีส่วนต่าง 1.2% โดยเห็นว่าหากมีดิจิทัลวอลเล็ตจะช่วยกระตุ้น ทำให้มองภาพเชิงบวกได้ แต่หากไม่มีดิจิทัลวอลเล็ตก็คาดว่ากระทบเชิง Sentiment เล็กน้อยเท่านั้น
"ด้วยตัวมันเองของตลาดไปเองได้ไหม เรามองภาพว่ามันไปได้ ส่วนดิจิทัลวอลเล็ตถ้ามันมี ก็ทำให้การเดินทางไปง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่มีก็อาจเจอขวากหนามบ้าง เพราะว่าถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็แปลว่าประเด็นการเมืองอาจจะกลับมาสร้างแรงกดดันก็ได้" นายเทิดศักดิ์ กล่าวกรณีการนำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้ได้จริง จะเป็นตัวกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumtion) ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค โดยหุ้นที่แนะนำ "สะสม" ได้แก่
กลุ่มค้าปลีก CRC ราคาเป้าหมายไว้ที่ 48 บาท , CPALL ราคาเหมาะสมที่ 77 บาท
กลุ่มท่องเที่ยว ERW Fair Value 6.70 บาท
https://youtu.be/k5Y3E6glLz0