UOB จ่อหั่น GDP ไทยปี 67 โต 2.4-2.5% แม้นักท่องเที่ยวโต แต่รายได้ยังต่ำ-ติดกับดักหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 8, 2024 16:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

UOB จ่อหั่น GDP ไทยปี 67 โต 2.4-2.5% แม้นักท่องเที่ยวโต แต่รายได้ยังต่ำ-ติดกับดักหนี้

นายเอ็นริโก้ ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research กลุ่มธนาคารยูโอบี (UOB) กล่าวว่า จากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/67 ทำให้ UOB เตรียมปรับประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปที่ 2.4-2.5% จากที่เคยประเมินว่าจะขยายตัว 2.8% ในปีนี้และ 3% ในปี 68 เนื่องจากโมเมนตัมของเศรษฐกิจค่อนข้างอ่อนแอกว่าคาด

แม้ในไตรมาส 1/67 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาเพิ่มขึ้น แต่รายได้ต่อหัวยังไม่เป็นไปตามคาด และภาวะอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวยังคงอยู่ การเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลงและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นท่ามกลางภาวะการมีหนี้สูง (Debt Overhang) อาจส่งผลต่อการบริโภคในภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นเป็น 58% ของ GDP

"สำหรับมุมมองเศรษฐไทยมีแนวโน้มเชิงบวก ฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็วแต่โมเมนตัมไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งต้องติดตามนโยบายการคลังว่าจะสามารถหนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หรือไม่ แม้การท่องเที่ยวจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยวยังไม่เพียงพอในการกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจไทยได้มากนัก"

สำหรับมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือนมิ.ย.และส.ค.นี้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่คึกคัก และเงินเฟ้อยังค่อนข้างต่ำ จึงเป็นเหตุผลที่ไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้อาจกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนต่างชาติบ้างแต่คงไม่มากเนื่องจากดุลบัญชีเงินสะพัดของไทยยังเกินดุล และมองว่าเม็ดเงินจะไหลออกมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของเฟดมากกว่านโยบายการเงินภายในประเทศ

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจโลก คาดว่าเฟดจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังสูงและตัวเลขทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง โดยยูโอบีคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในปีนี้ โดยปรับลดลง 2 ครั้งในเดือนก.ย. และธ.ค. ครั้งละ 0.25% อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่เฟดจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปอีกจากความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจสูงขึ้น และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นแรงกดดันต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีการเลือกตั้งหลายแห่งซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความผันผวนมาก ต้องใช้ความระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ก่อน

นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวถึงการที่มีข้อเสนอฟื้นกองทุน LTF มองว่าอาจจะช่วยหนุนเม็ดเงินทุนต่างชาติเข้ามา คล้ายกับการจัดตั้งกองทุน ThaiESG อย่างไรก็ตามต้องติดตามภาพรวมของตลาดประกอบด้วยเช่นเดียวกัน

*กลยุทธ์สร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง

นายเอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า เนื่องจากตลาดมีความอ่อนไหวต่อดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราการเติบโตและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างกัน การสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอผ่านการลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ยังแนะนำการลงทุนหลัก เช่น กลยุทธ์ Multi-asset และตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) ที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงช้า การกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ ภูมิภาค และอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน และเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

ในส่วนของ Top Ideas นั้น นายเอเบล ได้แนะนำ Global Healthcare สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนในหุ้น เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีลักษณะ defensive และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสังคมผู้สูงอายุและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแม้จะมีความท้าทายในระยะสั้นในภูมิภาคเอเชีย(ไม่รวมญี่ปุ่น) / อาเซียน / จีน แต่นายเอเบลยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะกลาง เนื่องจากการบริโภคในภูมิภาคที่ฟื้นตัวและมูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ

*ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการความมั่งคั่ง

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการผสานความเชี่ยวชาญของมนุษย์เข้ากับความล้ำหน้าของดิจิทัลเพื่อมอบบริการเฉพาะบุคคล เขายังได้แนะนำเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยลูกค้าในการสร้างพอร์ตโฟลิโอการลงทุนส่วนบุคคลที่เรียกว่า My Wealth Planner

นายกิดอนกล่าวว่า เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบัน เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการลงทุนที่ยั่งยืนได้ดีขึ้น เครื่องมือ My Wealth Planner จะสร้างกรอบการลงทุนที่สามารถพาลูกค้าให้บรรลุวัตถุประสงค์การลงทุนของตนได้ ข้อมูลลูกค้าทั้งหมดจะถูกรวบรวมและประมวลผลโดย My Wealth Planner ซึ่งจะเข้าใจโปรไฟล์ความเสี่ยงในการลงทุนและจัดสรรกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนและการประกันภัย เครื่องมือนี้ยังทำให้การลงทุนเรื่องที่ปลอดภัยและง่ายขึ้น ทั้งยังคอยติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ

นายกิดอนยังได้พูดถึงฟีเจอร์ Wealth ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวใน UOB TMRW ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนรวมได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถจัดการความมั่งคั่งผ่านโทรศัพท์มือถือได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว นักลงทุนจะสามารถเข้าถึงกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ทำให้สามารถลงทุนโดยตรงในกองทุนรวมที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศจากบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงถึง 14 แห่ง อาทิ Blackrock, PIMCO, JPMorgan และ Fidelity

เพื่อลดความเสี่ยงของเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้และกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลาย ผ่านเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลายและผลิตภัณฑ์การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทีมที่ปรึกษาลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญของยูโอบี จะให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ทางการเงินสำหรับนักลงทุนรายบุคคล ผู้ลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังลงทุนและได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ