นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. (PTT) คาดว่า จะลงนามในสัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง ในการดำเนินกิจการของ ปตท. โดยมีค่าตอบแทน ระหว่างกระทรวงการคลัง กับ ปตท. (สัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุฯ)ได้ ภายในเดือนมิถุนายน 2551 เนื่องจากขณะนี้ร่างสัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว และที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท.ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2551 ได้มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันระหว่าง ปตท.กับ กระทรวงการคลังในการเข้าทำสัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุ ฯ รวมทั้งอนุมัติให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ ผู้ที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ มอบหมาย มีอำนาจในการลงนามในเอกสาร และสัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุฯ กับกรมธนารักษ์ และสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และกระทำการอื่นใดที่จำเป็นและสมควรที่เกี่ยวกับการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันในการเข้าทำสัญญาให้ใช้ที่ราชพัสดุฯ รวมถึงการเข้าทำสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและการดำเนินการใดๆ ที่อยู่ภายใต้สัญญาดังกล่าว ซึ่งปตท. เป็นคู่สัญญา อนึ่ง กระทรวงการคลังตกลงให้ ปตท. ใช้ที่ราชพัสดุซึ่ง ปตท. ได้แบ่งแยกให้แก่กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยที่ดิน สิทธิการใช้ที่ดิน ท่อและอุปกรณ์เครื่องมือที่ประกอบกันเป็นระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมมูลค่าทางบัญชีสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ประมาณ 16,175 ล้านบาท การให้ใช้ที่ราชพัสดุดังกล่าวข้างต้นมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2580 และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังให้คำมั่นว่าจะให้ ปตท. ใช้ที่ราชพัสดุที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังต่อไปได้อีกมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี โดย ปตท. ต้องชำระค่าใช้ที่ราชพัสดุ ดังนี้ หน่วย : ล้านบาท รายได้ อัตราค่าใช้คิดเป็น % ของรายได้ ค่าใช้/ปี ขั้นต่ำ ส่วนเพิ่ม 0 - 3,600 5% = ค่าใช้ขั้นต่ำ 180> 3,600 - 3,700 10% > 180 - 190> 3,700 - 3,900 15% > 190 - 220> 3,900 - 4,100 20% > 220 - 260> 4,100 - 4,300 25% > 260 - 310> 4,300 - 4,500 30% > 310 - 370> 4,500 - 5,000 36% > 370 - 550 > 5,000 = ค่าใช้ขั้นสูง 550 ภาระค่าใช้ต่อปีที่ ปตท. ต้องจ่ายให้กับกระทรวงการคลังทุกๆปี จะต้องไม่ต่ำกว่า 180 ล้านบาท และสูงสุดไม่เกิน 550 ล้านบาท และมีค่าใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวนประมาณ 1,569 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี) ซึ่งได้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2550