เครือสหพัฒน์คาดหวังรายได้ปี51 โต 5-6% หากรัฐแก้ปัญหาเงินเฟ้อ-ดบ.ตรงจุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 4, 2008 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายบุญสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ในปี 51 หลายบริษัทในเครือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งราคาน้ำมัน และ ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สินค้าบางประเภทมียอดขายลดลง ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง เป็นต้น แต่บริษัทก็ยังตั้งเป้ารายได้ทั้งเครือในปีนี้เติบโต 5-6% จากปีก่อน  
แต่รายได้ของบมจ.ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) ในปีนี้คาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสินค้าหลักส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนม
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มสินค้าบริโภค ได้แก่ กลุ่มอาหาร ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาด ยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายโต 10% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงกันของปีก่อน และยิ่งค่าครองขีพของประชาชนสูงขึ้นก็จะยิ่งทำให้ยอดขายของ"มาม่า"สูงตามไปด้วย
"ตอนนี้ มีความกังวลว่าเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับสูง แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทุกประเทศก็เพิ่มขึ้น เพราะต้องแบกภาระราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐควรเร่งแก้ปัญหาโดยการสร้างรายได้ให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น มากกว่าการแก้ปัญหาทางการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะส่วนต่างเงินกู้เงินฝากจะมีระยะสูงเกินไป และทำให้เศรษฐกิจกลับไปชะลอตัวมากขึ้น" นายบุญยสิทธิ์ กล่าว
ส่วนค่าเงินบาท เห็นว่า ระดับที่เหมาะสมอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์
สำหรับปัญหาการเมือง เชื่อว่า การเมืองคงจะไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายมากไปกว่านี้ ทุกฝ่ายควรให้เวลารัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะรัฐบาลนี้ รัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นมือใหม่ แต่เชื่อว่ามีความสามารถในการแก้ไขปัญหา หากการเมืองยังมีเสถียรภาพและมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ยังเป็นปัจจัยที่ดีต่อการลงทุนของต่างชาติ
"ในช่วง 2-3 ปีนี้ บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตให้สูงมากนัก เพราะมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายในหลายอย่างที่มากระทบกับธุรกิจ และปีนี้จะไม่มีการเซ็นสัญญากับพันธมิตรต่างชาติ โดยที่ผ่านมาได้ยกเลิกการเจรจาไป 2-3 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเนื่องจากเห็นว่าประเทศอื่น อย่าง เวียดนาม น่าลงทุนมากกว่า" นายบุญยสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทได้เข้าซื้อกิจการบริษัท เอราวัณ ยูนิฟอร์ม จำกัด ซึ่งทำธุรกิจสิ่งทอ โดยใช้เงินลงทุนกว่า 1 พันล้านบาทในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สัดส่วน 70% จากกลุ่มมารูเบนิ จากญี่ปุ่น ซึ่งประสบปัญหาค่าเงินบาท ที่ทำให้บริษัทขาดทุนจากการส่งออก โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ทำให้กลุ่มสหพัฒน์ มีธุรกิจสิ่งทอครบวงจร จากเดิมที่บริษัทไม่มีโรงทอผ้าของตัวเอง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ