TF คาดกำไรสุทธิปี 51 ลดลงต่อเหตุต้นทุนพุ่ง/เล็งขอขึ้น"มาม่า"เป็น 7 บ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 20, 2008 10:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์(TF)ผู้ผลิตบะหมี่กี่งสำเร็จรูป"มาม่า"โอดปี 51 กำไรสุทธิยังลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนที่มี 708.32 ล้านบาท โดยอาจปรับลดลงประมาณ 100 ล้านบาท แม้จะประเมินว่ารายได้ทั้งปีจะโตประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่ 7 พันล้านบาท  เป็นเพราะประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบสำคัญโดยเฉพาะแป่งสาลีและน้ำมันปาล์มยังปรับตัวสูงต่อเนื่อง คาดในครึ่งปีหลังเตรียมขอปรับราคา"มาม่า"อีก 1 บาท เป็น  7 บาท/ซอง ช่วยลดต้นทุน
"แน่นอนปีนี้กำไรหด ...ปีที่แล้วได้กำไร 500 กว่าล้าน(งบเฉพาะบริษัท) ปีนี้เหลือ 400 ล้านก็เก่งแล้ว กำไรหายไปประมาณ 100 ล้าน ราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้เอากำไรนะ ปรับขึ้นเพื่อไป cover ราคาวัตถุดิบที่ขึ้นสุงก็ยังเอาไม่อยู่แล้ว" นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ TF กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ ในปี 50 งบการเงินเฉพาะกิจการบริษัท มีกำไรสุทธิ 527.06 ล้านบาท ลดลงจากปี 49 ที่มี 711.33 ล้านบาท ส่วนในงบรวมปี 50 มีกำไรสุทธิ 708.32 ล้านบาท ลดลงจาก 812.54 ล้านบาทในปี 49
และแม้บริษัทจะยังมีกำไรจากธุรกิจอื่นที่บริษัทเข้าไปลงทุนที่ให้กำไรกลับมาบริษัทปีละประมาณ 100 ล้านบาท ในงบการเงินรวม แต่เมื่อรวมกับงบเฉพาะบริษัทที่คาดว่ากำไรจะลดลง ก็จะส่งผลให้งบการเงินรวมมีกำไรลดลงเช่นกัน
นายพิพัฒ กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บะหมี่กี่งสำเร็จรูป "มาม่า" กำไรหดตัว 20-30% เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกเดือนๆละ 2-3% โดยวัตถุดิบหลักได้แก่ แป้งสาลี และ น้ำมันปาล์ม ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีก โดยแป้งสาลีคาดว่าในครึ่งปีหลังจะได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐนำผลผลิตข้าวสาลีไปเลี้ยงสัตว์แทนข้าวโพดที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ส่วนน้ำมันปาล์มในประเทศก็เตรียมขอปรับขึ้นราคาอีก
"ไตรมาส 3 จะไม่ดี เพราะแป้งสาลีจะสูงมาก เห็นราคาสัญญาล่วงหน้าแล้ว โดยปกติบริษัทจะซื้อล่วงหน้า 3 เดือน ซึ่งล็อตใหม่จะมีราคาสูงขึ้น ราคาซื้อจริงก็จะตกในไตรมาส 3" นายพิพัฒ กล่าว
ทั้งนี้ ต้นทุนวัตถุดิบหลักคือ แป้งสาลี มีสัดส่วน 38-40% ของต้นทุนทั้งหมด ขณะที่น้ำมันปาล์มมีสัดส่วน 17%
แม้ว่ารายได้ในไตรมาส 2/51 จะฟื้นตัวหลังจากที่ไตรมาสแรกยอดขายตกไปหลังจากที่ได้ปรับราคาขึ้นเป็นซองละ 6 บาท จากซองละ 5 บาท แต่รายได้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 10% กว่า ทั้งที่ควรจะปรับขึ้น 20% ตามการปรับขึ้นราคาขาย 20%
"ในไตรมาส 2 นี้ ยอดขายกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ไตรมาสแรกยอดขายลดไปจากที่ปรับขึ้นราคาไป แต่คู่แข่งยังไม่ได้ปรับขึ้น แต่ตอนนี้ปรับขึ้นกันทุกเจ้า อย่างไรก็ตาม กำไรจะออมาไม่ค่อยดี สู้ปีที่แล้วไม่ได้" นายพิพัฒ กล่าว
อนึ่ง ในไตรมาส 2/50 มีกำไรสุทธิ 189.52 ล้านบาท
แต่คาดว่าในครึ่งปีหลัง ยอดขายน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เป็นผลสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอ ค่าครองชีพสูง หากปีนี้สามารถมีปริมาณขายเท่ากับปีที่แล้วบริษัทก็พอใจแล้ว
"ถ้าเกิด volume(ปริมาณขาย)ได้เท่ากับปีที่แล้ว value(ยอดขาย)ก็จะได้ประมาณ 20% แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เท่านั้น แม้ว่าราคาขายปรับขึ้นมาจริงแต่ ยอดขายลดลงไป แต่ก็หวังว่าครึ่งปีหลังตัว Volume จะฟื้นตัวเท่ากับปีที่แล้ว ก็จะทำให้ ยอดขายปีนี้ เรามากกว่าปีที่แล้ว ประมาณ 15-20%" นายพิพัฒ กล่าว
*วางแผนยาวขอปรับขึ้น"มาม่า"อีก 1 บาทเป็น 7 บาทคาดมีผลปีหน้า
นายพิพัฒ กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาของ "มาม่า"เมื่อ ม.ค.51 ที่ผ่านมา เป็นซองละ 6 บาท จาก 5 บาท/ซอง ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นตลอด จึงคาดว่า บริษัทจะขอปรับขึ้นราคา"มาม่า"อีก 1 บาท/ซอง เป็น 7 บาท/ซอง ในครึ่งปีหลัง แต่กว่าจะอนุมัติให้ปรับได้ก็คงเป็นต้นปีหน้า เพราะเป็นสินค้าควบคุม
"มีโอกาสขอปรับราคา"มาม่า"ในครึ่งปีหลัง แต่กว่าจะ effective คงต้องเป็นปีหน้า เวลานี้ "มาม่า"เป็นสินค้าควบคุม ซึ่งการขอปรับขึ้นราคาคงจะไม่เร็ว สมมติว่าเราดูแล้วแนวโน้มไม่ดี ต้นทุนสูงขึ้นจะขอปรับขึ้นราคาก่อน แต่กว่าจะมีผลคาดว่าจะเป็นปีหน้า จะขอปรับอีก 1 บาท" นายพิพัฒ กล่าว
ขณะเดียวกัน การขอปรับขึ้นราคาเส้นหมี่ขาวภายใต้แบรนด์มาม่าเป็น 7 บาท/ซอง จาก 6 บาท/ซองของบริษัทที่ยื่นขอปรับไปก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายเส้นหมี่ขาวประมาณ 100 ล้านบาท/เดือน
"คือเรื่องของเรื่อง รัฐบาลไม่มีเหตุผล ในเมื่อวัตถุดิบไม่ควบคุมราคา แต่มาควบคุมราคาสินค้าแปรรูป ซึ่งไม่มีประเทศไหนทำกันหรอก ถ้าจะขอร้องไม่ให้เราขึ้นราคาก็ต้องควบคุมตั้งแต่ต้นทาง แต่ราคาต้นทางไม่ควบคุมแล้วจะไม่ให้สินค้าแปรรูป ไม่ขึ้นราคาเป็นไปไม่ได้"นายพิพัฒ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ