(เพิ่มเติม) PTTEP มั่นใจรายได้ H2 ดีกว่า H1จากปริมาณการขายเพิ่ม/ H2 ปันผลเท่า H1

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 6, 2008 18:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) คาดว่า รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ที่มีรายได้ 6.32 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากผลผลิตของแหล่งอาทิตย์และแหล่งอาทิตย์เหนือที่เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด  
"เรายังมั่นใจว่าครึ่งปีหลังรายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะปริมาณการขายสูงกว่าแน่ๆ เพราะครึ่งปีแรกเรารับรู้จากแหล่งอาทิตย์เพียงบางส่วน แม้ราคาขายในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ปีนี้ราคาน้ำมันดิบก็ยังน่าจะสูงกว่า 100 เหรียญ/บาร์เรล" นายอนนต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงเป้าหมายปริมาณขายทั้งปี 51 ที่เฉลี่ย 2.23 แสนบาร์เรล/วัน
นายอนนต์ กล่าวว่า แหล่งอาทิตย์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เม.ย.ที่ผ่านมา มีกำลังการผลิตคอนเดนเสดเกือบ 1.5 หมื่นบาร์เรล/วัน สูงจากประมาณการที่คาดว่าจะผลิตได้เพียง 1 หมื่นบาร์เรล/วัน ส่วนปริมาณผลผลิตก๊าซได้ตามเป้าหมายที่ 330 ล้านลบ.ฟุต/วัน
และในแหล่งอาทิตย์เหนือจะเริ่มผลิตได้ในเดือน ต.ค.51 ซึ่งแม้จะล่าช้ากว่าแผนประมาณ 1 เดือน แต่เชื่อว่าจะผลิตได้ตามเป้าหมายที่ปริมาณก๊าซ 120 ล้านลบ.ฟุต/วัน
นอกจากนี้ ยังได้ปริมาณปิโตรเลียมเพิ่มจากแหล่งเวียดนาม 9-2 ประมาณ 2 หมื่นบาร์เรล/วัน และ แหล่ง G4/43 ที่มีกำลังการผลิตเริ่มต้นประมาณ 5 พันบาร์เรล/วัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7-8 พันบาร์เรล/วัน
นายอนนต์ คาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ใกล้เคียงกันช่วงครึ่งปีแรกที่จ่ายในอัตรา 43% ของกำไรสุทธิ หรือ จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 2.86 บาท ซึ่งทั้งปีบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยในอัตรา 43% ของกำไรสุทธิ เพราะเชื่อว่าในครึ่งปีหลังกำไรของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนแผนขุดเจาะและสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในปีนี้จะปรับลดลงเหลือ 56 หลุมจากเดิมที่วางแผนไว้ 61 จุด ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2.6-2.8 เหรียญ/บาร์เรล จากปี 50 มีต้นทุนเฉลี่ย 2.33 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนการขนส่ง และค่าเช่าเรือ
สำหรับแหล่งในเวียดนาม ที่ผ่านมาบริษัทพบว่าสำรวจ TGD-1X-ST1 ในแปลง 16-1โครงการเวียดนาม มีอัตราของน้ำมัน ก๊าซ และคอนเดินเสทในปริมาณต่ำ ดังนั้น บริษัทจะปิดการสำรวจและจะตั้งสำรอง แต่อยู่ระหว่างการประเมินตัวเลข คาดว่าจะได้ข้อชัดเจนในเดือนต.ค.นี้ แต่จะบันทึกเมื่อไรบริษัทจะพิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในปี 52 บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากแหล่งเจดีเอ ที่คาดว่าจะเสร็จในครึ่งหลังปี 52 และตามแผนคาดจะผลิตได้ในช่วงไตรมาส 4/52 โดยเบื้องต้นคาดปริมาณผลผลิตประมาณ 270 ล้านลบ.ฟุต/วัน และสามารถผลิตได้เต็มที่เป็น 470 ล้านลบ.ฟุต/วันในปี 55
*เล็งเพิ่มงบลงทุนปี 52 หลังกำหนดราคาขายก๊าซแหล่ง M-9
นายอนนต์ กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนในปี 51 บริษัทยังคงแผนการลงทุนที่ 8.1 หมื่นล้านบาท แต่จะมีการปรับเพิ่มงบในปี 52 จากเดิมจะใช้งบลงทุน 6.9 หมื่นล้านบาท เพราะจะต้องลงทุนในแหล่ง M-9 ในพม่า หลังการเซ็นสัญญาการขายก๊าซให้กับ บมจ.ปตท(PTT)ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนแหล่งอื่นอาจจะมีการปรับเพิ่มเงินลงทุน แต่ขณะนี้ยังไม่แน่นอนว่าเป็นแหล่งใดบ้าง
"นอกจากบริษัทจะขุดเจาะและสำรวจด้วยตัวเอง ยังมองแนวทาง M&A กับบริษัทอื่นเพื่อขยายขนาดการลงทุนของบริษัท อย่างไรก็ตาม เราก็ยังต้องการศึกษารายละเอียด ตัวโครงการต้องมีขนาดใหญ่เพียงพอดีกับศักยภาพของ ปตท.สผ. ถ้าขนาดเล็กเกินไปเราไม่สนใจ และ โครงการจะต้องมีคุณภาพ สามารถให้ผลตอบแทน สูงถึง 30%" นายอนนต์ กล่าว
ทั้งนี้ ในอนาคตบริษัทจะเน้นการลงทุนไปต่างประเทศ จากปัจจุบัน ปตท.สผ.มีการลงทุนในอ่าวไทยเป็นส่วนใหญ่ นายอนนต์ กล่าว ประเทศที่มองว่ามีศักยภาพ ได้แก่ อิหร่าน โอมาน บาห์เรน รวมถึงประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับประเทศพม่า เพราะมีแหล่งสำรวจที่มีจำนวนมาก รองจากในประเทศ
ส่วนแหล่งนาทูน่าในอินโดนีเซีย นายอนนต์ กล่าวว่า เครือ ปตท. แสดงความสนใที่จะเข้าจะร่วมประมูลโครงการนี้ด้วย ซึ่งบริษัทก็เห็นด้วย เพราะแหล่งนาทูน่าเป็นแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ระดับต้น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะได้แผนร่วมทุนที่ชัดเจนใน 1-2 ปี โดยปตท.จะเป็นผู้เจรจากับหน่วยงานของอินโดนีเซีย
รวมทั้งยังเห็นว่าโครงการแหล่งนาทูน่า จำเป็นต้องร่วมทุนกันหลายประเทศ เพราะเป็นแหล่งใหญ่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล โดยประเทศที่มีศักยภาพได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ