นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงไม่แน่นอนเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและไม่มั่นใจว่าช่วงขาขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กจะคงทนได้นานเท่าใด ทั้งนี้ แม้ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นหลายวันติดต่อกันหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงก็ตาม แดน ลอเฟนเบิร์ก หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท อเมริไพรซ์ ไฟแนนเชียล กล่าวว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น ผมเชื่อว่าเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐ ส่วนภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กสัปดาห์นี้คาดว่าจะผันผวนเนื่องจากความกังวลในเรื่องเหล่านี้" เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 43.97 จุด หรือ 0.38% แตะระดับ 11,659.90 จุด เพราะได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงไปแตะที่ระดับ 113.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งขึ้น อเล็กซานเดอร์ พาริส นักวิเคราะห์จากบริษัทแบรริงตัน รีเสิร์ช ในเมืองชิคาโก คาดการณ์ว่า ภาวะการซื้อขายในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะจับตาดูทิศทางตลาดน้ำมันเป็นหลัก อีกทั้งจะให้น้ำหนักกับข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยดัชนีการก่อสร้างบ้านในวันจันทร์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการก่อสร้างบ้านใหม่ประจำเดือนก.ค.ในวันอังคาร ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่อยู่ความสนใจของนักลงทุนได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันอังคาร รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธ ส่วนในวันพฤหัสบดีจะมีการเปิดเผยจำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานรายสัปดาห์ สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียจะเปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนส.ค. ทั้งนี้ แพริสกล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงจับตาดูแนวโน้มตลาดแรงงาน ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และตัวเลขเงินเฟ้อ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.4% และเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ปีครึ่ง ซึ่งเป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น" ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.ร่วงลง 51,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้ว และอัตราว่างงานพุ่งสูงเกินคาดสู่ระดับ 5.7% แพริสคาดว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กจะยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของสหรัฐ หลังจากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาสสามมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญและการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ส่งผลให้ราคาหุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 ปี เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่า โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาในแง่ของมูลค่าทางตลาด อาจมีรายได้ลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ที่บริษัทนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดเมื่อปีพ.ศ.2542 พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์ ลงสู่ระดับ 2.04 ดอลลาร์/หุ้น จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.80 ดอลลาร์/หุ้น และคาดว่าผลประกอบการของเลห์แมนจะร่วงลงแตะระดับ 3.94 ดอลลาร์/หุ้น จากระดับ 1.59 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ เมอร์ริล ลินช์ คาดว่า ซิตี้กรุ๊ปจะขาดทุน 55 เซนต์/หุ้นในไตรมาสสาม เมื่อเทียบกับไตรมาสสองที่ขาดทุน 28 เซนต์/หุ้น สำนักข่าวเอพีรายงาน