(เพิ่มเติม) IHL คาดปี 51 ยอดขายโต 18% มาที่ 1.8 พันลบ.,มีอัตรากำไรสุทธิที่ 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 1, 2008 18:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

           บมจ.อินเตอร์ไฮด์(IHL)คาดว่า ยอดขายในปี 51 อยู่ที่ 1,800 ล้านบาท หรือโต 18% จาก 1,500 ล้านบาทในปีก่อน ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทโตเฉลี่ย 33% ซึ่งถือว่าเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่เติบโตเฉลี่ย 15%
ในปี 51 บริษัทมีกำลังการผลิตอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ที่ผลิตด้วยหนังเพิ่มเป็น 30 ล้านตร.ฟ.จากปีก่อนที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 24 ล้านตร.ฟ.
ในครึ่งปีแรกบริษัทมีคำสั่งซื้อจากค่ายรถยนต์ฮอนด้าเพิ่มเป็น 17% จาก 12% ในปีก่อน เพื่อป้อนให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ของ Accord และ CRV แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังมีลูกค้าหลัก คือ โตโยต้า โดยมีสัดส่วนราว 57% รองลงมาคือฮอนด้า และ นิสสัน
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร IHL คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีอัตรากำไรสุทธิที่ 10% จากปีก่อนติดลบ 3% หรือขาดทุน 40 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตกว่าในครึ่งปีแรกรายได้ 964 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังมีงานตามออเดอร์ โดยปีนี้บริษัทได้ออเดอร์ใหม่ 10 รุ่นและเป็นช่วงที่ไฮซีซั่นด้วย
ในปี 52 คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องอีกประมาณ 18-20% เพิ่มเป็นประมาณ 2 พันล้านบาท เนื่องจากมีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง ค่ายรถยนต์เริ่มมีออเดอร์เบาะหนังเพิ่มขึ้นตามความนิยมของผู้บริโภค โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือในปี 53 บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเป็น 36 ล้านตร.ฟ.หรือเพิ่มขึ้น 20% โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10-20 ล้านบาทในการซื้อเครื่องจักรใหม่
"ผมไม่ได้กลัวออเดอร์ไม่มี ออเดอร์เยอะ ผมกลัวบุคคลากรไม่พอ" นายองอาจ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนส่งออก ไปจีน อินเดีย เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 20-30% จากปัจจุบันส่งออก 10-15% เนื่องจากเห็นว่าตลาดในจีนเป็นตลาดใหญ่ ที่ตลาดรถยนต์มีนิยมใช้เบาะหนัง 70% ของจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ และในปี 52 ตลาดในจีนลดภาษีนำเข่าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเหลือ 0% และในปี 53 ลดภาษีนำเข้าเครื่องหนังสำเร็จรูป 0% จากปัจจุบันอยู่ที่ 17%
นายอวยชัย มติธนวิรุฬห์ กรรมการ IHL กล่าวว่า โอกาสธุรกิจเบาะหนังรถยนต์ของบริษัทมีโอกาสเติบโตสูง ที่บริษัทรถยนต์เริ่มขยายเข้าไปในรถกะบะ รถอีโคาร์ ซึ่งใน 5 ปีข้างหน้า จะมีบริษัทรถยนต์ผลิตรถอีโคาร์ ประมาณ 5 แสนคัน ภายในปี 53 ทำให้ความต้องการเบาะหนังรถยนต์เพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันตลาดเบาะหนังรถยนต์ก็มีคู่แข่งน้อย เพราะต้องผ่านการทดสอบจากผู้สั่งซื้อหรือผู้ผลิตเบาะหนังรถยนต์ขั้นต้น(first tier)
ปัจจุบันหนังสัตว์เป็นวัตถุดิบหลักของบริษัท สัดส่วน 49% ซึ่งนำเข้าและจากในประเทศ โดยมีแหล่งวัตถุดิบประมาณ 10 แห่ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ