โบรกฯ ประเมิน GRAND-ASCON-RAIMON อาจกระทบโดยตรงจากปัญหาเลห์แมนฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 16, 2008 11:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

         สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) ประเมินว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม และ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาเลห์แมนบราเธอร์ส โดยผลกระทบทางตรง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการปล่อยเงินกู้ให้กับ Lehman ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท 
ส่วนที่ Lehman Brothers เข้าถือหุ้นและมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ RAIMON / GRAND / ASCON ทั้งนี้ ASCON และ GRAND คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากมี Lehman เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง ในขณะที่ RAIMON
เป็นการถือหุ้นในบริษัทย่อย 2 แห่ง ดังนั้น SCRI ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว
ขณะที่บล.กสิกรไทย คาดว่า ผลกระทบจากปัญหาเลห์แมน บาร์เธอร์ส ที่มีโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย คงมีไม่มาก เพราะธปท. คาดว่าธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินกู้กับ Lehman Brothers ประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์ของไทย ในขณะที่ Lehman Brothers ก็ถือหุ้นในบริษัท GRAND (42%) ASCON (7.5%) BT (21 ล้านหุ้น) และถือหุ้นไม่มากใน PTT และ PHATRA ส่วน RAIMON มีการกู้เงิน Lehman ประมาณ 350 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามผลกระทบโดยอ้อมจะมีมากกว่า เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศจะขายหุ้นในเอเชีย รวมถึงไทย และนำเงินกลับไปเสริมสภาพคล่องในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำท่าจะบานปลาย หลังจาก Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย และขอความคุ้มครองภายใต้ chapter 11 โดยเลห์แมนมีหนี้สิน 6 แสนล้านหรียญสหรัฐฯ นับว่าเป็นการล้มละลายที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกมา ในขณะที่ Merrill Lynch ตกลงขายหุ้นให้กับ Bank of America (BofA) ในราคา 29 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
นอกจากนั้นยังมีข่าวว่า AIG กำลังเร่งหาเงินสดเพื่อไม่ให้ถูกปรับลดอันดับเครดิต แต่ล่าสุด Fitch และ Moody’s ได้ปรับลดเครดิต AIG แล้ว และขอเงินกู้ด่วนจากเฟด แต่ทางเฟดปฏิเสธที่จะให้กู้ โดยได้ขอให้ทาง Goldman Sachs และ JPMorgan Chase เข้าไปช่วยเหลือ ส่วนทางด้านประธานธิบดีบุช ออกมากล่าวว่าจะไม่เข้าไปช่วยเหลือตลาดหุ้น DJ ที่ปรับลดลงมาแรง และมองว่าวิกฤติสถาบันการเงินครั้งนี้จะนำไปสู่การปรับตัว และสร้างความยืดหยุ่นให้กับสถาบันการเงินในอนาคต
KS มองว่าปัญหาสถาบันการเงินคงไม่จบเพียงแค่นี้ ปัญหาที่ต่อเนื่องตามมาคงมีอีกมาก ราคาอสังหาริมทรัพย์ฯ ก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัว หากดูตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯที่แย่ลงเรื่อยๆ หรือหากจะจบลง คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว นักลงทุนต่างประเทศคงขายหุ้นในเอเชีย และทั่วโลกต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ