BSBM มั่นใจกำไรสูงกว่าปีก่อน แม้ลดเป้าปริมาณขายปีนี้เหลือ 1 แสนตันเศษ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 19, 2008 09:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายวีระวิทย์ ดุละลัมพะ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.บางสะพานบาร์มิล(BSBM)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทยังเชื่อว่าในปี 51 จะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อน แม้ว่ามีการปรับลดเป้าปริมาณขายทั้งปีลงเหลือ 1 แสนตันเศษ จากเดิม 2 แสนตัน จากผลกระทบปัจจัยลบหลายด้านที่ทำให้ปริมาณการขายในแต่ละเดือนไม่เข้าเป้า 
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปริมาณขายในปีนี้ยังสูงกว่าปีก่อนที่มีปริมาณขาย 9 หมื่นตัน และโดยกำไรที่ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน มาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นมาในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
"เราขายลดลงมากเมื่อเทียบกับเป้าเพราะแต่ละหน่วยที่ขายต้องการที่จะเน้นว่าต้องมีกำไรในอัตราที่เราพอใจ เพราะการสั่งซื้อวัตถุดิบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วพอราคาเริ่มลงการสั่งซื้อวัตถุดิบอะไรก็ง่ายขึ้นเยอะ"
ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทได้ปรับลดเป้าหมายปริมาณขายในแต่ละเดือนเหลือแค่ครึ่งเดียว จาก 20,000 ตัน/เดือน เหลือเพียง 10,000 ตัน/เดือน เพื่อให้สอดคล้องก้บสภาพความเป็นจริงที่ได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาการเมือง รวมทั้งปัญหาต้นทุนการก่อสร้าง
"เป้าปริมาณขาย 20,000 ตันต่อเดือนตั้งไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงก็ต้องปรับลงเพื่อให้ตามความเป็นจริง เนื่องจากเริ่มเห็นตั้งแต่มีความผันผวนทางการเมืองแล้ว ความเชื่อมั่นอะไรต่ออะไรก็ลดลง ประกอบกับช่วงที่ราคาเหล็กแพงขึ้นบางโครงการต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นก็ชะลอไปหรือตัดไปเลย ก็ทำให้มีผลตั้งแต่แรกแล้วเราก็ขายได้แค่เดือนละหมื่นตัน ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้ซีเรียสกับยอดขายมากแต่เราเน้นที่อัตราผลกำไร"นายวีระวิทย์ กล่าว
นายวีระวิทย์ กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 3/51 คาดว่ายอดขายจะค่อนข้างเงียบเพราะเข้าช่วงฤดูฝนชุกเดือนก.ย.ซึ่งเป็นปกติของทุกปี ประกอบกับภาวะการเมืองที่ยังมีความวุ่นวาย ทำให้ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ ขณะเดียวกันปัจจัยภายนอก ราคาเหล็กโลกในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากที่เคยขึ้นมาตลอดเป็นทิศทางเดียวในช่วงครึ่งปีแรก ซ้ำเติมสถานการณ์ความเงียบเหงาของตลาดเพิ่มขึ้นอีก
"ยอดขายไตรมาส 3/51 น่าจะน้อยกว่าไตรมาส 2/51 ซึ่งเป็นฤดูปกติที่ไตรมาส 3 ทุกๆ ปีก็จะน้อยกว่าและไปกระเตื้องในไตรมาส 4 เพราะหน้าแล้งการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล"นายวีระวิทย์ กล่าว
อนึ่ง ไตรมาส 2/51 BSBM มีรายได้รวม 631.7 ล้านบาท
นายวีระวิทย์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกก็สามารถทำกำไรได้ถึง 317.27 ล้านบาท จากปี 50 ที่มีกำไรเพียง 161.17 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19% ถือว่าดีมากแล้วเมื่อเทียบกับสถานการณ์แบบนี้
"กำไรสุทธิปีนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะครึ่งปีแรกก็กำไรเกินกว่าปีที่แล้วทั้งปีแล้ว แต่ต้องดูครึ่งปีหลังด้วยเพราะถ้าติดลบเยอะๆกำไรก็อาจจะไม่เยอะกว่าปีที่แล้ว แต่เราก็ไม่คิดว่าจะติดลบ" นายวีระวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ ครึ่งปีหลังยอมรับว่าอาจจะไม่ง่ายเท่าครึ่งปีแรก เพราะราคาเหล็กปรับลดลง ขณะที่ดีมานด์ก็เงียบเหงา โดยราคาขายเหล็กเส้นขายอยู่ประมาณ 31 บาท/ก.ก.จากช่วงก่อนหน้านี้ที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 41.25 บาท/ก.ก.โดยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดโลก ขณะที่ราคาเหล็กแท่ง(Billet)ปรับลดลงประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือประมาณ 10 บาท/ก.ก.พอดีหรือใกล้เคียง
"ต้นทุนวัตถุดิบลดลงและราคาขายก็ลดลงด้วย โดยลดลงประมาณ 10 บาท จาก 40 เหลือ 31 บาทนิดๆ ก็สะท้อน ซึ่งวัตถุดิบถ้าซื้อใหม่ตอนนี้ทุกคนต้องพยายายามดูว่าราคาจะมีเสถียรภาพเมื่อไรจะนิ่งได้เมื่อไร ซึ่งตอนนี้ Billet ยังผันผวนมาก การซื้อ Billet ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะถ้าซื้อไปก็อาจจะขาดทุนได้"นายวีระวิทย์ กล่าว
แนวโน้มในตลาดโลกราคายังแกว่งตัวอยู่ในระดับปัจจุบันอยู่ระยะหนึ่งแล้ว คือ Billet ที่ผลิตจากสินแร่เหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของเราอยู่แถวๆ 800-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงมาจาก 1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนเศษเหล็กลงไปแล้วและปรับตัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย จากช่วงแรกลงไปเยอะมากและปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้วเพราะช่วงแรก ๆ ที่ลงทุกคนก็แตกตื่น แต่ต้องรอสักพักหนึ่งให้เกิด transection ก่อน เพราะตอนที่ลงไปมากๆ ส่วนใหญ่จะไม่มีใครซื้อขาย พอเริ่มมีคนเข้ามาซื้อขายก็สะท้อนราคาที่แท้จริง
นายวีระวิทย์ กล่าวว่า ตลาดโลกตอนนี้ราคาที่เริ่มลงมาและไม่ลงต่อแล้วอยู่แถวๆ นี้ ซึ่งยังต้องดูทิศทางต่อไปว่าจะปรับขึ้นหรือไม่หรือจะอยู่อย่างนั้นหรือมีอะไรที่กระทบแล้วทำให้ลงต้อหรือเปล่าก็ต้องดูต่อไปว่าจะมีปัจจัยอะไรเข้ามาเพิ่มเติมส่วนในประเทศเองเนื่องจากไม่มีการซื้อขายถือว่าเงียบมากทำให้ยังไม่เห็นราคาที่ชัดเจนว่าทิศทางและราคาจะไปอยู่ที่ไหนยังนิ่งๆ อยู่แถวๆนี้
ส่วนปีหน้าต้องประเมินสถานการณ์ดูอีกที ถ้าราคามีเสถียรภาพการซื้อขายน่าจะดีกว่านี้เพราะราคาอยู่ในช่วงปรับตัวทุกคนก็ wait and see เหมือนตลาดหุ้น
"เราขายลดลงมากเมื่อเทียบกับเป้าเพราะแต่ละหน่วยที่ขายต้องการที่จะเน้นว่าต้องมีกำไรในอัตราที่เราพอใจ เพราะการสั่งซื้อวัตถุดิบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วพอราคาเริ่มลงการสั่งซื้อวัตถุดิบอะไรก็ง่ายขึ้นเยอะ"นายวีระวิทย์ กล่าว
สำหรับความต้องการใช้นั้น เชื่อว่าหากราคามีเสถียรภาพ และการเมืองนิ่ง ความเชื่อมั่นกลับมา โครงการต่างๆ ที่อั้นไว้หรือค้างไว้ก็ต้องกลับมาดำเนินการต่อ ซึ่งตรงนั้นก็จะทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้นและในระยะกลาง 1-2 ปีข้างหน้าก็จะมีเมกะโปรเจ็คต์เข้ามาเสริมอักที
นายวีระวิทย์ กล่าวว่า วัตถุดิบและราคาขายยังไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ก็จะทำให้กำไรต่อหน่วยลดลงก็ไปชดเชยกันอย่างไตรมาส 4/51 เราก็ขายได้จำนวนมากขึ้นและอัตรามาร์จินก็เป็นธรรมชาติที่ว่าเมื่ออยู่ในภาวะ stable ก็ได้เฉพาะแค่กำไรที่เป็นปกติ ช่วงที่ราคาขึ้นก็จะมีกำไรพิเศษ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ