(เพิ่มเติม) บล.ทิสโก้คาดตลาดหุ้นไทยกระเตื้องใน Q2/52หลังซึมยาว แนะจัดพอร์ตให้เหมาะ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 29, 2008 17:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายวิศิษฐ์  องค์พิพัฒน์กุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังคงซึมยาวจนถึงไตรมาส 1/52 ที่จะไปถึงจุด Bottom Out และจะเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2/52 
จากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อไทยด้วย แต่จะเป็นลักษณะทางอ้อม โดยจะเห็นผลกระทบต่อตัวเลขภาคการส่งออกเป็นหลัก อาจจะเห็นการขยายตัวของการส่งออกลดลงต่ำกว่า 10% ในปี 52 จากปัจจุบันเติบโตที่ 14% เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นเป็นตลาดหลักของไทย และอาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวผันผวนบ้างตามแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวอาจมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายจากสภาพคล่องทั่วโลกที่หดหายไป ซึ่งจะเห็นการส่งสัญญาณนี้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/51 ไปจนถึงไตรมาส 1/52 โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ความซบเซาของตลาดหุ้นไทยจะลากยาวไปเหมือนกัน นอกจากนั้นการที่สภาพคล่องหดตัวอาจทำให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ออกยากขึ้นด้วย หรือ เหลือเพียงเสนอขายในประเทศเท่านั้น
พร้อมทั้งมองว่าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค.51 นี้ น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือ 1% หรือ 1.5% จากในปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง แม้ว่าจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบมาแล้วก็ตาม
นายวิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า การปรับลดของเฟดอาจจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยไทยด้วยเหมือนกันที่อาจจะปรับลดลงตาม อย่างน้อยของอัตราดอกเบี้ยในประเทศอาจจะปรับลดลงประมาณ 0.25% ในต้นปีหน้า เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับสูง
"ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าลงทุนเพราะไม่มีความเชื่อมั่น ถ้าหากเห็นก็เป็นเพียงการซื้อหุ้นกลับของต่างชาติแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสภาพคล่องในตลาดหายไป จากที่เคยมีวอลุ่มเฉลี่ย 1.7 หมื่นล้านบาท/วัน ตอนนี้เหลือไม่ถึงหมื่น และก็มองว่าวอลุ่มดังกล่าวจะลากยาวไปอีก 4-5 เดือนด้วยซ้ำ และไตรมาส 1 ก็จะกลายเป็นจุด bottom แต่เมื่อทุกอย่างเห็นภาพแล้วก็ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้นวิกฤติจึงเป็นโอกาสได้เหมือนกัน" นายวิศิษฐ์ กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “ฝ่าทางตันวิกฤติ BIGMAC - CRISIS"
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้หุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นไทยให้ปันผลสูงถึง 8-10% EPS ของบจ.ส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดี โดยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ในระดับ 24% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นหลัก แต่จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ยังไม่เอื้อหากยังไม่มีความเชื่อมั่น แต่อยากจะลงทุน ก็สามารถแบ่งการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 1-2 ปีในสัดส่วน 60% ,หุ้นที่มีเงินปันผลสูง 20% และ หุ้นที่ราคาไม่ผันผวน 20% ถือว่าปลอดภัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ