นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์(CP) เชื่อว่าสินค้าเกษตรจะมีราคาปรับเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง ในช่วงไตรมาส 2/52 ตามทิศทางราคาน้ำมันที่คาดว่าจะกลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้งพร้อมเห็นด้วยที่ภาครัฐเข้าจะเข้าไปดูแลปัญหาสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกร เพราะเกษตรกรมีจำนวนถึง 25 ล้านคน หากมีการอุดหนุนสินค้าเกษตรจะช่วยเกษตรกรมีรายได้เพื่อใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย
ในส่วนซีพีก็มีการสนับสนุนเกษตรกร โดยมีการขยายพันธุ์พืชที่มีหลากหลายมากขึ้น ได้แก่ กล้ายาง ปาล์มน้ำมัน รวมถึง ปุ๋ย จะทำให้รายได้ของกลุ่มปีนี้ของบริษัท อยู่ประมาณ 4 พันล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรปรับตัวลดลงอาจส่งกระทบต่อบริษัทได้ เนื่องจากบริษัทจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ หรือขายต้นกล้าให้กับเกษตรกร ในราคาที่ถูกลง ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
สำหรับแผนการลงทุนด้านพืชครบวงจร ในเวียดนาม อินเดีย บังคลาเทศ และปากีสถาน นายมนตรี กล่วว่า บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง ไม่มีการชะลอการลงทุน เพราะเป็นโครงการที่ดำเนินต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีแผนขยายไปยังประเทศใหม่ ๆ เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องระมัดระวังการลงทุนขนาดใหญ่ไว้ก่อน แต่จะไปเน้นการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะในส่วนพืชพลังานทดแทน ที่เชื่อ่ว่า ในอนาคตจะมีความต้องการใช้สูงขึ้น เช่น ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน และ มันสำปะหลัง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเวียดนามตัดราคาขายข้าวราคาต่ำที่ 350 เหรียญ/ตัน เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการระบายสต็อกข้าวของภาครัฐที่ปัจจุบันมี 4 ล้านตัน ถือว่าน้อยมาก และไทยยังสามารถเพิ่มสต็อกได้อีก และสามารถรอเวลาขายได้เมื่อได้ราคาดี เนื่องจากรัฐบาลมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งกว่ารัฐบาลเวียดนาม จึงไม่จำเป็นต้องเร่งขายข้าวแข่งกับเวียดนาม เพราะความต้องการของตลาดโลกอยู่ที่ 28 ล้านตัน ใกล้เคียงกับกำลังการผลิตก็อยู่ในระดับเดียวกันในปีนี้
ด้านราคายาง นายมนตรี กล่าวว่า ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาอุดหนุนราคา เพราะราคายางปรับตัวลดลงไปมาก และเห็นว่าควรเข้ามารับซื้อในราคาที่เหมาะสมที่ 60 บาท/กก.