ก.ล.ต.ให้ SECC หาผู้สอบบัญชีตรวจสอบเป็นพิเศษและให้แจ้งผลใน 30 ธ.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 4, 2008 13:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ได้สั่งการให้บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลล์ แอนเซอร์วิส (SECC) จัดให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เพื่อตรวจสอบในรายการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของทรัพย์สิน หนี้สิน ใบหุ้นของ SECC รวมถึงการขายและโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์และอาจมีผลต่อราคาหลักทรัพย์ของ SECC และให้ SECC แจ้งผลการตรวจสอบต่อสำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมทั้งเผยแพร่ต่อผู้ลงทุนภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2551

สืบเนื่องจากประเด็นบริษัทย่อยของ SECC ให้กู้ยืมเงินแก่บุคคลภายนอก เนื่องจาก พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของบริษัท ดังนั้น เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้สั่งการไปยังประธานกรรมการของ SECC ให้ชี้แจงกรณีที่บริษัท เอสอีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด (SECC Holding) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ให้กู้ยืมแก่บุคคลอื่น 4 ราย วงเงินให้กู้ยืมรวม 245 ล้านบาท เนื่องจากสำนักงาน ก.ล.ต. มีข้อสงสัยว่า SECC Holding มิได้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงิน แต่ให้กู้ยืมเงินแก่บุคคลในจำนวนเงินสูง ทำให้ SECC Holding มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้รับชำระหนี้คืน และจะกระทบต่อ SECC ให้ได้รับความเสียหายได้ โดย SECC ได้ชี้แจงต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 สรุปได้ว่าการให้กู้ยืมของบริษัทย่อยไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการของSECC ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่าการชี้แจงดังกล่าวยังไม่ครบถ้วนชัดเจนเพียงพอ

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อยมีหน้าที่ต้องกำกับดูแลให้บริษัทปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องดำเนินการให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนต่อผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไปด้วย และหากกรรมการหรือผู้บริหารฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกฎหมายดังกล่าวจนเป็นเหตุให้บริษัทเสียหายหรือทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ จะมีโทษปรับไม่เกินจำนวนค่าเสียหายหรือประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าห้าแสนบาท และหากเป็นการกระทำโดยทุจริตจะมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายหรือประโยชน์ที่ได้รับ โดยต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับกรณีที่มีข่าวว่ามีรายการซื้อหุ้น SECC แล้วลูกค้าไม่ชำระค่าซื้อจึงเป็นเหตุให้ บล. เสียหายนั้น ขณะนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้สั่งการให้ บล. ที่มีรายการดังกล่าวชี้แจงผลกระทบและการดำเนินการ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นการด่วน ซึ่งทราบเบื้องต้นว่า บล. ได้ทำการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว รวมทั้งสำนักงาน ก.ล.ต. ได้เรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่การตลาดของ บล. ให้ข้อมูลด้วย เนื่องจากมีประเด็นว่ารายการซื้อขายบางรายการอาจมีเจตนาอำพรางหรือทำให้ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น SECC ไม่เป็นไปตามสภาพที่แท้จริงของตลาด

ในส่วนที่มีข่าวเกี่ยวกับใบหุ้นปลอมของ SECC ว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการซื้อขายและ บล. นั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีลูกค้านำใบหุ้น SECC มาฝากให้ บล. ช่วยตรวจสอบ บล. จึงได้นำไปตรวจสอบกับบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ซึ่งเมื่อ TSD ทราบว่าเป็นใบหุ้นปลอมก็ได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ดังนั้น ประเด็นนี้จึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และ บล.



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ