บล.บัวหลวง(BLS)ระบุว่า ในปี 52 ธุรกิจหลักทรัพย์จะมีความผันผวนจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ จึงส่งผลให้บริษัทต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง แต่อย่างไรก็ตาม BLS ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาส่วนแบ่งการตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 4% ในปีก่อน
รวมทั้งการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจอนุพันธุ์เป็น 5.2% จาก 4.7% โดยจะเน้นกลยุทธ์ Wealth Management ในลูกค้าบุคคล ขณะที่ลูกค้าสถาบันจะให้ความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ(IB)ปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านบาท จาก 90 ล้านบาทในปี 51 โดยจะเน้นการเป็นที่ปรึกษาในการควบรวมกิจการ
ส่วนเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจากประมาณ 11,000 ล้านบาทในปี 51 เป็นมากกว่า 14,000 ล้านบาทในปี 52 และบริษัทจะเริ่มดำเนินการธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ได้ในไตรมาส 2 ซึ่งเชื่อว่าจะมีศักยภาพที่ดีในอนาคต
นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม ประธานกรรมการ BLS กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจปี 52 ของ BLS ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท ด้วยการเปิดตัวกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย ที่จะเข้ามาเป็นแม่ทัพกุมบังเหียน ซึ่งจะนำ BLS ให้เดินไปตามยุทธศาสตร์ของบริษัทที่ได้วางไว้สู่เป้าหมายการเป็น 1 ใน 5 ผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ หลังจากที่นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ ประสงค์จะลดบทบาทจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุ.พ.52
ด้านนายญาณศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า ต้องการลดบทบาทการทำงานมาเป็นพี่เลี้ยงที่พร้อมสนับสนุนการทำงานของกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่รวมถึงพนักงานทุกคนในการร่วมกันผลักดันธุรกิจของ BLS ให้เติบโตก้าวหน้าต่อไปในฐานะกรรมการบริหาร BLS
“ผมเชื่อมั่นว่าด้วยความแข็งแกร่งของผู้ถือหุ้น บล.บัวหลวง และทีมงานมืออาชีพภายในบริษัทการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผู้บริหารใหม่เข้ามาผลักดันธุรกิจต่อไปในอนาคต ส่วนผมก็ยังทำงานให้กับ บล.บัวหลวงในฐานะกรรมการบริหาร ที่จะให้คำปรึกษากับกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่และพนักงานทุกคนในการทำธุรกิจ และจะรวมถึงการที่จะชักนำธุรกิจด้านต่างๆ เข้ามาให้กับ บล.บัวหลวงตามปกติ และจะใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งทำกิจกรรมต่างๆ ภายนอกบริษัท ที่จะเป็นประโยชน์กับบล.บัวหลวงและอุตสาหกรรม" นายญาณศักดิ์ กล่าว
นายญาณศักดิ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทจะเพิ่มบริการลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ TFEX ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท นอกเหนือการสร้างรายได้ค่านายหน้าหลักทรัพย์อย่างเดียว เนื่องจากมองว่าวอลุ่มเฉลี่ยในปีนี้คงจะไม่สูงมากนักอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์ใกล้เคียงปี 51 ที่ 60% แต่รายได้จากค่านายหน้า TFEX จะปรับตัวขึ้นมา 10% เนื่องจากคาดว่า Gold Futures จะช่วยหนุนวอลุ่มใน TFEX ให้เติบโตขึ้น
ขณะที่สัดส่วนรายได้จาก IB อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงปี 51 ที่ 10% เช่นกัน ปัจจุบันบริษัทมีดีลเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน 10 บริษัทไม่ว่าจะเป็นดีล IPO จำนวน 2-3 ดีล ส่วนใหญ่เลื่อนมาจากปีก่อน ส่วนจะสามารถเข้าตลาดหุ้นได้ทันปีนี้หรือไม่ คงขึ้นอยู่กับภาวะตลาด แต่ในส่วนธุรกรรม M&A ปีนี้จะเป็นโอกาสที่ดี และบริษัทมีหลายดีล
นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้จะมาจากกองทุนส่วนบุคคล 4-5% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
นายญาณศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับลูกค้าของบริษัทโดยเฉพาะลูกค้าที่มีบัญชีเคลื่อนไหว(Active)มากขึ้น ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1 หมื่นบัญชี และเชื่อว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 10% จากจำนวน 2 หมื่นบัญชี
ส่วนการควบรวมกิจการนั้น บริษัทไม่ได้ปิดกั้นแต่ปัจจุบันยังไม่เห็นจุดในการควบรวม คงต้องขึ้นกับจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
ในส่วนของพอร์ตลงทุนที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุน 40 ล้านบาทที่ลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 4/51 ให้ผลตอบแทนกลับมา 20% โดยพอร์ตลงทุนจะเป็นลักษณะกระจายการลงทุน ซึ่งคณะกรรมการบริษัทจะมีการพิจารณาวงเงินลงทุนในพอร์ตของปีนี้อีกครั้ง ขณะที่วงเงินปล่อยมาร์จิ้นลดเหลือ 400 กว่าล้านบาทจากปีก่อนที่เคยปล่อยสูงสุดที่ 1 พันล้านบาทในหุ้น 40 ตัว