SECC แจ้ง"สมพงษ์-นิภาพร"พ้นสภาพพนักงานบริษัทแล้ว หลังทำผิดวินัยร้ายแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 20, 2009 09:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) แจ้งว่า นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ และ นางสาว นิภาพร คมกล้า ได้พ้นสภาพจากการเป็นกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 เป็นต้นไป

เนื่องจากทั้งสองกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อบริษัท จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ได้กล่าวโทษนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ และนางสาวนิภาพร คมกล้า ว่าเนื่องจากมีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อว่า มีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในประเด็นดังนี้

นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ในฐานะประธานกรรมการที่รับผิดชอบการดำเนินงานและได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของบริษัท ได้เบียดบัง ยักยอกเงินของบริษัทด้วยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ ในการสั่งซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อเป็นเหตุอำพรางให้ต้องจ่ายเงินจากบัญชีของบริษัท ให้แก่ตนเอง หรือบุคคลอื่น เพื่อซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริงนั้น ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 307 308 311 และ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยมีนางสาวนิภาพร คมกล้า ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน ซึ่งฝ่าฝืนมาตรา 315 ประกอบมาตรา 307 308 และ 311

นายสมพงษ์ ฯ ร่วมกับนางสาวนิภาพร ฯ จัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ ในการสั่งซื้อสินค้ารถยนต์ที่ไม่มีจริง และจัดให้มีการบันทึกบัญชีซื้อรถยนต์ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้รถยนต์ที่แสดงในบัญชีเป็นสินค้าคงเหลือเป็นเท็จ ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 312 แห่ง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2552 บริษัทได้รับหนังสือจาก กลต. ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 แจ้งว่า เนื่องจาก นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ และนางสาวนิภาพร คมกล้า อยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษดำเนินคดีข้างต้น เป็นเหตุให้ทั้งสองท่าน มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ตามข้อ 3(3) แห่งประกาศ กจ. 5/2548 ประกอบกับมาตรา 89/3 89/4 และ89/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดว่ากรรมการและผู้บริหารต้องไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด และให้กรรมการและผู้บริหารพ้นจากตำแหน่ง เมื่อมีลักษณะแสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้ออกประกาศกำหนดให้การอยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษดำเนินคดีนั้น เป็นลักษณะต้องห้ามในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์แล้ว บุคคลทั้งสองข้างต้น จึงพ้นจากการเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทโดยผลของกฎหมายประกอบกับ การกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้งสอง เป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อบริษัท จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ตามข้อบังคับบริษัท ข้อ 3.1 , 3.2 หมวด 11 แห่ง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ