นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM)เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปี 51 ที่มี AUM 7.8 หมื่นล้านบาท
บริษัทจะเน้นการออกกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เพราะมองว่าการลงทุนมีความปลอดภัยในยุคที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ Yield จะต่ำแต่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งสอดคล้องนโยบายบริหารกองทุนที่มีความหลากลาย ทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ และภาครัฐ เป็นต้น ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ก็ปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต ยังมีกองทุนที่ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)จำนวน 9 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนหุ้น 5 กองทุน, กองทุนผสม 2 กองทุน และ ตราสารหนี้ 2 กองทุน ส่วนจะเสนอขายเมื่อไหร่ขึ้นกับสภาวะตลาดโดยรวม
นอกจากนี้ ในปีนี้บลจ.ธนชาต จะมีเม็ดเงินของกองทุนที่เข้าไปลงทุนในพันธบัตรของเกาหลีที่จะครบอายุเข้ามา จำนวน 5-6 พันล้านบาท โดยจะทยอยเข้ามาในช่วงเดือนมีค-พ.ค.
"การลงทุนยังมีโอกาสแต่ไม่ใช่ปีทองของกองทุนเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา เพราะเงินใหม่ที่จะเข้ามาจะยากมากขึ้นจากสภาวะที่ไม่ดี เราจึงปรับโดยเน้นความระมัดระวังให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการออกตราสารหนี้และการขยายช่องทางโดยผ่านธนาคารธนชาต ซึ่งจะทำให้เราได้เปรียบเมื่อเทียบกับรายอื่นในสภาวะเช่นนี้ โดยช่วงเดือนม.ค.ได้มีการออกตราสารหนี้ที่ลงทุนในหุ้นกู้ จำนวน 3 กอง ขนาดกองละ 400-500 ล้านบาท โดยมี 2 กองทุน อายุ 1 ปี 5 เดือนซึ่งก็ได้รับควมสนใจ ส่วนที่เหลือต้องประเมินสถานการณ์"นายบุญชัย กล่าวด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงจะใช้ระยะยเวลานานกว่า 1 ปี ถึงแม้สถาบันการเงินที่มีปัญหาต่าง ๆ จะมีการเพิ่มทุนแล้ว แต่ใช้เวลาอีกนานกว่าจะสะสางหนี้ ประกอบกับประเทศที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และเป็นการถดถอยพร้อมๆ กัน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานาน
ผลกระทบนี้ส่งผลต่อไทยด้วยเช่นเดียวกัน แต่ในส่วนของไทยไม่มีวิกฤติภาคการเงิน แต่ส่งออกมีปัญหาหนักโดยเฉพาะภาคการผลิต ทำให้ประเมินว่า Earning เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในปี 52 อาจจะลดลงหรือหายไป 20-25% จากฐานปี 51 โดยเฉพาะภาคการผลิตที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการที่มี Fix cost มาก
ทั้งนี้ ภายใต้ปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าอาจจะปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 350 จุด เพราะไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ถึงแม้จะมีมาตรการภาครัฐเข้ามา แต่เป็นเพียงการคานไม่ให้ฟุบตัวลงไปเท่านั้น
แต่ถ้าหากผ่านในระยะเวลาดังกล่าวได้ ดัชนีก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คงจะสูงสุดได้ไม่เกิน 500 จุด ขณะเดียวกัน คาดว่าดอกเบี้ยอาร์พีจะอยู่ที่ 1-1.5% และจะนิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นได้จริง