นายชลัช ชินธรรมมิตร กรรมการ บมจ.ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล (TSTE) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแผนปรับสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้งใน 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากโรงกลั่นน้ำมันปาล์มสร้างเสร็จและเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะใช้บริษัท ที เอส จี พรอพเพอร์ตี้ จำกัด และ บริษัท ที เอส จี ฟาร์มิล จำกัด ดูแลธุรกิจหลักทั้ง 2 สาย โดย ที เอส จี พรอพเพอร์ตี้ จะทำหน้าที่ดูแลธุรกิจน้ำมันปาล์ม ขณะที่ ที เอส จี ฟาร์มิลล์ จะดูแลธุรกิจแป้งสาลี และมองหาธุรกิจเกี่ยวเนื่องในอนาคต
"เราคงจะดูว่าวันข้างหน้าธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วคือ แป้งข้าวสาลี ที่ยอดขายและขนาดของธุรกิจโตพอที่จะแตกออกไปได้มั้ย รวมถึงธุรกิจใหม่คือน้ำมันปาล์มด้วย แล้วไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล ก็อาจจะทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง คือให้ลูกโต แตกตัวออกไป ตอนนี้บริษัทลูกเรา Activity เยอะ"นายชลัช กล่าวอย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องย้ายหมวดการซื้อขาย โดยมองว่าการเป็นโฮลดิ้งจะอยู่ในหมวดไหนก็ได้ อีกทั้งมองว่าหากวันข้างหน้าตัวธุรกิจน้ำมันปาล์มดีจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะแยกบริษัทออกไปจดทะเบียนเป็นมหาชนอีกบริษัทหนึ่งเพื่อเข้าตลาดหุ้นในหมวดพลังงาน
สำหรับความคืบหน้าโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม บริเวณท่าเทียบเรือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการนั้น นายชลัช กล่าวว่า ล่าสุดเพิ่งลงเสาเข็ม คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ตามกำหนดคือประมาณปลายปี 52 หรือภายในไตรมาส 1/53 โดยโรงกลั่นน้ำมันปาล์มจะคุ้มทุนภายใน 5 ปี ตั้งเป้าผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR)ไม่ต่ำกว่า 15%
หลังโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเสร็จสมบูรณ์แล้ว TSTE คงจะชะลอการลงทุนไปสักระยะหนึ่ง เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากบรรดาบริษัทลูกให้เต็มที่ก่อน ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพิ่งจะมีมติให้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ที เอส จี พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เป็น 94.31% จากเดิม 62.07% ขณะที่ในส่วนของบริษัท ที เอส จี ฟาร์มิล จำกัดนั้น ปัจจุบัน TSTE ถือหุ้นอยู่ประมาณ 80-90% ถือว่าเพียงพอที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้แล้ว
"ทุกบริษัทที่เราเตรียมพร้อมไว้นี้ครบหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเพิ่มอะไรแล้ว รอเงินปันผลจากบริษัทลูกอย่างเดียวแล้ว อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการทำธุรกิจใหม่ต้องมีค่าใช้จ่าย มีการคืนหนี้แบงก์เพราะเงินลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันปาล์มประมาณ 400 ล้านบาท โดย 200 ล้านบาทมาจากการเพิ่มทุนปีที่แล้วเพื่อนำมาลงทุนในที เอส จี พรอพเพอร์ตี้ ที่เหลือมาจากการกู้"นายชลัช กล่าว