LANNAปรับเพิ่มปริมาณขายปี 52 เป็น 2.5 ล้านตัน,คาดกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 19, 2009 12:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ปรับเพิ่มปริมาณขายถ่านหินขึ้นเป็น 2.5 ล้านตัน จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 2.2 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากได้ทบทวนการผลิตถ่านหินใหม่ รับผลดีจากราคาถ่านหินในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนที่มีราคาขายเฉลี่ย 52 เหรียญ/ตัน ส่งผลให้กำไรสุทธิ และรายได้ของบริษัทเพิ่มสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 7.48 พันล้านบาท และ กำไรสุทธิ 471.12 ล้านบาท

"รายได้ปีนี้เราเพิ่มอยู่แล้ว แต่จะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ เพราะขายเป็นเงินดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน เพราะรักษามาร์จิ้นไว้ 5-10% จากปีก่อนที่ทำได้ 6-7%"นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ LANNA กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ทั้งนี้ ปริมาณถ่านหินมาจากเหมืองถ่านหินแหล่งที่ 1(LHI)ในประเทศอินโดนีเซียจำนวน 1.7 ล้านตัน จากเดิมผลิตได้ 1.5 ล้านตัน หลังจากที่ปรับปรุงพื้นที่ภายหลังหยุดผลิตชั่วคราวเมื่อ ธ.ค.51 จากภาวะฝนตกหนักและเริ่มกลับมาผลิตในเดือนมี.ค.52

และ จากเหมืองถ่านหินแห่งที่ 3(SGP)ในอินโดนีเซียเริ่มผลิตในเดือนมิ.ย.แล้ว โดยเพิ่มเป้าหมายการผลิตปีนี้เป็น 8 แสนตัน จาก 7 แสนตัน ก่อนที่ปีหน้าจะผลิตเต็มที่เป็น 1.5 ล้านตัน

ส่วนเหมืองถ่านหินแห่งที่ 2 (CHM) กำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ได้ถูกเพิกถอนสัมปทานไปตั้งแต่กลางปี 51

นายสีหศักดิ์ กล่ววว่า บริษัทได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไว้ 60% ของปริมาณขายทั้งหมด ส่วนอีก 40% เป็นการขายตามราคาตลาด(spot)ซึ่งขณะนี้บริษัทเหลือปริมาณขาย spot อีก 15% ขณะที่ราคาถ่านหินยังปรับตัวสูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 78 เหรียญ/ตัน ตามความต้องการจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาถ่านหินปีนี้ยังไม่น่าจะเกิน 90 เหรียญ/ตัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ความต้องการของถ่านหินจากอุตสาหกรรมลดลง แต่โรงไฟฟ้าก็ยังคงความต้องการ ทำให้ธุรกิจปีนี้ไม่หวือหวามาก

*เล็งซื้อเหมืองเพิ่มในปีหน้า

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทยังมองเห็นโอกาสที่เข้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียเพิ่มเติมอีก แต่ยังอยู่ในขั้นสำรวจเท่านั้น โดยบริษัทตั้งงบสำรวจในปีนี้ไว้ประมาณ 40 ล้านบาท คาดว่าจะสรุปการซื้อขายในปีหน้า เบื้องต้นบริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้แล้วประมาณ 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งกำไรสะสมของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับสูง

"ปีนี้เรายังศึกษาสำรวจอยู่ ถ้าซื้อตอนนี้ยังไม่น่าซื้อ ราคาจะแพงไป แต่ถ้าตกลงปีนี้ ก็จะเป็นราคาปีหน้าที่จะซื้อขายกัน"นายสีหศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทสนใจเหมืองถ่านหินที่มีขนาดสำรองไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน หรือสูงสุงไม่เกิน 200 ล้านตัน ซึ่งอาจเป็นเหมืองถ่านหินที่มีระดับความร้อนต่ำ เพราะมองว่าอนาคตไม่เกิน 5 ปี ความต้องการถ่านหินความร้อนระดับสูงจะลดลงและปริมาณถ่านหินชนิดนี้จะน้อยลง

*คาด"ไทยอะโกรฯ"เข้าตลาดปลายปี 52-ต้นปี 53

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า บมจ.ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่(TAE)ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเอทานอลในเครือ LANNA ได้ยื่นไฟลิ่งแล้วในเดือนมิ.ย.ทำให้คาดว่าอาจจะเข้าตลาดได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า โดยคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะใช้เวลาพิจารณาอนุมัติแบบไฟลิ่งประมาณ 6 เดือน โดยจะออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขาย IPO 25% ของทุนจดทะเบียน

ทั้งนี้ ไทยอะโกรฯ อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตอีก 2 แสนลิตร/วัน ซึ่งใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบ คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 53 โดยใช้เงินลงทุน 1.2 พันล้านบาท โดยบริษัทใช้แหล่งเงินทุนจากบริษัท 600 ล้านบาทและเงินกู้ 600 ล้านบาท

ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างปรับปรุงโรงงานแรกในการพัฒนาเครื่องจักรให้สามารถใช้วัตถุดิบได้ทั้งโมลาสและมันเส้น โดยใช้เงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท เพราะวัตถุดิบจากโมลาสมีจำนวนจำกัดส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงเมื่อเทียบกับการใช้มันเส้น หากใช้โมลาสต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22 บาท/ลิตร แต่หากใช้มันเส้น(ราคา 1.70-2.00 บาท/กก.)จะมีต้นทุนอยู่ที่ 17-18 บาท/ลิตร และมีผลผลิตมันเส้นในตลาดประมาณ 6 แสนตัน/ปี



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ