โบรกฯ มองหุ้นกลุ่มแบงก์ครึ่งปีหลังสินเชื่อ-NIM ฟื้น แม้ H1 กำไรอ่อนตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 16, 2009 15:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ มองหุ้นกลุ่มธนาคารกำไรไตรมาส 2/52 อ่อนตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจและการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น แต่คาดในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นของภาครรัฐจากการใช้เงินกู้เข้าสู่ระบบ แนวโน้มสินเชื่อเติบโต และ NIM ก็จะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ให้หาจังหวะเข้าซื้อเมื่ออ่อนตัว เพราะราคาขณะนี้ปรับขึ้นตามตลาดที่บวกแรงมาหลายวันแล้ว

ทั้งนี้ กลุ่มแบงก์ที่ประเมินผลประกอบการมี 7 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ(BBL) ธ.กรุงศรีอยุธยา(BAY) ธ.กสิกรไทย(KBANK) ธ.กรุงไทย(KTB) ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) ธ.ทหารไทย(TMB) และ ธ.ทิสโก้ (TISCO)

โบรกเกอร์ คำแนะนำ บล.ฟิลลิปฯ ซื้อ บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ บล.เคจีไอ Overweight บล.ดีบีเอสฯ Neutral

บล.กรุงศรีอยุธยา Neutral

บล.เอเซียพลัส เท่ากับตลาด

นส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยอาวุโสการฝ่าวยวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคาร(7 แห่ง)ในไตรมาส 2/52 ลดลง 4% จากไตรมาสแรก(QoQ)และลดลง 14% จากปีก่อนในไตรมาสเดียวกัน(YoY)ซึ่งมองว่าในไตรมาส 2/52 BAY และ TMB จะมีผลประกอบการโดดเด่น แต่มองว่าเป็นการเติบโตจากรายการพิเศษ ขณะที่ KTB คาดว่าไตรมาส 2/52 นี้จะมีการตั้งสำรองมากกว่าปกติ โดยประเมินสูงถึง 3 พันล้านบาท เทียบกับไตรมาสแรกที่ตั้งสำรอง 1.5 พันล้านบาท

แต่ยังมองว่าครึ่งปีหลังหุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าลงทุน จากการใช้จ่ายภาครัฐ และ ภาคเอกชนมียอดขายดีขึ้นตามฤดูกาล ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนปกติอยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคาร

"เราดูตัวที่มี value ที่มี upside อยู่เยอะ ถ้าเป็นแบงก์ใหญ่ก็จะเป็น BBL KBANK SCB เพราะมีระดับสำรองอยู่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นมองว่าถ้าภาวะไม่ดีอย่างที่คาด ความจำเป็นการตั้งสำรองก็ยังไม่มากนัก และระดับ NPL ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และผลประกอบการยังสามารถจ่ายปันผลได้"นส.ศศิกร กล่าว

ส่วนนักวิเคราะห์ จาก บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ประเมินว่า ผลกำไรของกลุ่มธนาคาร(7 แห่ง)ไตรมาส 2/52 จะอ่อนตัว โดยตาดว่าจะลดลง 15.4% YoY และ ลดลง 7% QoQ สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มสำรองที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 70% QoQ และ 3.7% YoY และ ส่วนต่างดอกเบี้ย (net interest margin :NIM)ก็จะลดลงด้วย ส่วนการขยายตัวสินเชื่อไม่น่าจะเติบโต

"โดยรวมสินเชื่อยังไม่ดี มาร์จิ้นก็แย่ เพราะฉะนั้นงบในไตรมาส 2 จึงอ่อนตัว ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันไว้อยู่แล้ว"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ ระบุว่า หุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าลงทุน ซึ่งทางเคจีไอได้ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Overweight เนื่องจากมูลค่าหุ้น หรือ valuation ของกลุ่มแบงก์ ขณะนี้มีค่าเฉลี่ย PB ต่ำกว่าหลังวิกดติเศรษฐกิจในปี 1998 (ปี41) ประมาณ 11-12% แม้ว่าในช่วงต้นปีราคาหุ้นกลุ่มแบงก์จะปรับขึ้นก็ตาม แต่เป็นการรีบาวน์กลับจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปลายปีที่แล้ว

รวมทั้งหุ้นกลุ่มแบงก์ในไทยเทียบกับภูมิภาคเดียวกันยังถูกกว่า โดยขณะนี้มีส่วนลดมากกกว่า 20% จากราคา Price to Book และถ้าเทียบในเชิง P/E หุ้นกลุ่มแบงก์ของไทยเทรดที่ P/E 10 เท่า แต่หุ้นกลุ่มแบงก์ภูมิภาคนี้เทรดอยู่ที่ P/E 15 เท่า

ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าธุรกิจแบงก์น่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยในไตรมาส 3/52 น่าจะ stable และไตรมาส 4/52 น่าจะเห็นการปรับตัวที่ดีขึ้น จากที่มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น และ มีการกระตุ้นจากเงินกู้รัฐบาลเข้ามาในระบบ ดังนั้นสินเชื่อมีแนวโน้มดูดีขึ้น

ประกอบกับ NIM น่าจะปรับดีขึ้น โดยมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะต่ำสุดแล้วหรือน่าจะนิ่งแล้ว หรืออาจจะปรับลงอีก 1 รอบ รวมทั้ง NPL ในปีนี้ยังไม่ดี โดยไตรมาส 2 และ 3 ก็ยังมีการปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รุนแรงมาก เป็นระดับที่จัดการได้ ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปีนี้ลดลง 7-8% แต่ก็จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ก็จะทำให้กำไรปีหน้าฟื้นตัวคาดว่าจะเติบโต 17-18%

"เราได้เปลี่ยนคำแนะนำจากถือเฉยๆ เป็น ซื้อ หรือ Overweight...เรามองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ยังมี value อยู่ เราบอกไว้ว่าให้ใช้โอกาสที่ตลาดอ่อนตัวในการเข้าไปเก็บหุ้นแบงก์ แต่ถ้าไม่กลัวความผันผวนก็เข้าซื้อได้ เพราะเราดูยังมี upside สูงเฉลี่ย 20% "นักวิเคราะห์กล่าว

ทั้งนี้ คำแนะนำหุ้นที่น่าเข้าซื้อ ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KTB และ TISCO ส่วน SCIB ให้เล่นเก็งกำไร ขณะที่ แนะขาย TMB และ TCAP

ส่วน นส.สุกัญญา อุดมวรนันนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มองผลกำไรของกลุ่มธนาคารยังไม่ดี จากการขยายตัวสินเชื่อติดลบ โดย 5 เดือนแรก ลดลง 5% ส่วน NIM ก็ลดลงด้วยแต่น้อยกว่าไตรมาสแรก โดยคาดกำไรสุทธิใน 7 ธนาคารใหญ่จะลลดง 14% YoY และ ลดลง 5% QoQ

"นักลงทุนไม่สนใจผลประกอบการในไตรมาส 2 เล่นเก็งกำไรไปแล้ว และขายออกมาบ้างไปแล้ว "

แต่มองว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการได้สอบถามกับทางธนาคาร ระบุว่า สินเชื่อในเดือนมิ.ย.เริ่มมีโมเมนตัมดีขึ้น ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจดูดีกว่าต้นปี และ NIM ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่มีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากอีก อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 52 คาดว่ากำไรสุทธิกลุ่มธนาคารน่าจะทรงตัว หรือลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน

"จริงๆ หุ้นกลุ่มแบงก์ยังน่าสนใจ เพราะแนวโน้มครึ่งปีหลังดี แต่ให้ดูจังหวะเข้าซื้อ เพราะถ้าตลาดยังบวกเยอะๆอยู่ ราคาที่จะเข้าซื้ออาจจะยังไม่น่าเข้า เพราะราคาขึ้นมาใกล้เคียงกับราคาเหมาะสมที่ให้ไว้ คิดว่าราคาตอนนี้ที่ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องผลประกอบการ แต่เป็นตัว sentiment ตลาดมากกว่า แค่ให้หาจังหวะเก็บแบงก์ใหญ่ ถ้าราคาอ่อนตัวลงมา"นส.สุกัญญา กล่าว

โดยแนะนำเป็น TOP Picks ได้แก่ KBANK , KTB, SCB

บทวิเคราะห์บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ธนาคารทั้ง 7 แห่งจะมีกำไรสุทธิไนไตรมาส 2/52 เท่ากับ 1.77 หมื่นล้านบาท อ่อนตัวลง 5.3% QoQ ส่วนใหญ่เนื่องจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้นถึง 77% QoQ ตามสถานการณ์ NPL ของกลุ่มฯ ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ในระดับที่ยังควบคุมได้ไม่ถึงขั้นมีนัยฯ

นอกจากนี้ NIM ที่หดตัวต่อเนื่องอีก 3bp สู่ระดับ 3.10% ในงวดนี้ เนื่องจากยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ธ.พ. ส่วนใหญ่ลงราว 0.125-0.35% ในงวดนี้ อีกทั้งฐานสินเชื่อสุทธิที่ยังค่อนข้างทรงตัวจากงวดที่ผ่านมา

แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มฯ ในครึ่งปีหลัง จากสัญญาณบวกของสินเชื่อในกลุ่ม SME และรายใหญ่ที่เริ่มเห็นภาพการหดตัวที่ลดลง หรือเริ่มเป็นบวกมากขึ้น อาทิ KBANK, KTB, SCB และ BAY อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงโดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้น่าจะถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วในไตรมาส 2/52

อีกทั้งต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ยังทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ NIM ของกลุ่มฯ ให้ปรับตัวสูงขึ้นได้ใกล้เคียงกับคาดการณ์ปี 52 ของฝ่ายวิจัยที่ 3.43% รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่ประเมินไว้ 4.5% yoy ที่ยังมีความเป็นไปได้ด้วยแรงขับเคลื่อนการความต้องการสินเชื่อในภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่ได้เปิดประมูลไปแล้วในช่วงที่ผ่านมาและยังมีกำหนดการกู้เพิ่มเติมอีกอย่างมีนัยฯ ตาม พรก.เงินกู้ 8 แสนล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ