ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนรอดูการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทสหรัฐและข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐ รวมทั้งมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานตัวเลขสินค้าคงคลังที่ลดลงมากกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ที่ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 96.50 จุด หรือ 1% แตะที่ 9,241.45 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วง 12.75 จุด หรือ 1.3% แตะที่ 994.35 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 22.51 จุด หรือ 1.1% แตะที่ 1,969.73 จุด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขสินค้าคงคลังในเดือนมิ.ย.ว่า ตกลง 1.7% มาอยู่ที่ 3.93 แสนล้านดอลลาร์ นับเป็นสถิติที่ตกลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 10 แล้ว และยังเป็นตัวเลขที่ร่วงลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะอ่อนตัวลง 0.9%
ยอดขายระดับค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยนักวิเคราะห์มองว่า ธุรกิจของชาวอเมริกันยังมีอุปสรรคในการลดสินค้าคงคลังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยครั้งยาวนานสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลว่า การที่ตลาดดีดตัวขึ้นคึกคักเมื่อเดือนที่แล้วอาจะเกิดขึ้นเพียงไม่นานนักหากเศรษฐกิจไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัวขึ้นมากกว่านี้ นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องสถานะทางการเงินของธนาคารต่างๆทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ออกมาก่อนหน้าที่เฟดจะเปิดเผยแถลงการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0 - 0.25% ในการประชุมซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 11 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ไม่มั่นใจว่าเฟดจะขยายเวลาการซื้อพันธบัตรออกไปจนถึงเดือนก.ย.หรือไม่ หลังจากอัตราว่างงานเดือนก.ค.ในสหรัฐปรับตัวลดลง
หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วง 6.1% ส่วนหุ้นบีบี แอนด์ ที คอร์ป ตกลง 2.8% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ร่วง 5%