บริษัท แคปปิตอล พลัส แอดไวซอรี่ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. ซีฮอร์ส (SH) มีความเห็นว่า ผู้ถือหุ้นควรลงมติไม่อนุมัติการเข้าทำรายการจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินและรายการที่เกี่ยวโยงกันกับธุรกิจอาหาร
เนื่องจากเห็นว่าวิธีการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอาหารของ SH รวมถึงเงินลงทุนใน KK ที่เหมาะสมที่สุดคือ วิธีปรับปรุงมูลค่าตามบัญชี ซึ่งตามวิธีดังกล่าว มูลค่าของทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอาหารทั้งหมดของ SH รวมถึงเงินลงทุนใน KK อยู่ที่ 780.58 ล้านบาท ซึ่งสูงว่าราคาขายที่ 670.00 ล้านบาท อยู่ร้อยละ 16.50 ดังนั้น ที่ปรึกษาทางการเงินจึงเห็นว่าราคาขายที่ 670.00 ล้านบาท เป็นราคาที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ การทำรายการในครั้งนี้บริษัทมีความประสงค์ที่จะลดผลขาดทุนจากธุรกิจอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ประสบผลขาดทุนมา 3 ปี ต่อเนื่อง และไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถทำกำไรได้ ในระยะเวลาอันสั้น และจากภาวะการแข่งขันในตลาดธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งก็มีการแข่งขันสูงและมีต้นทุนที่มีความผันผวนอย่างมากจากราคาวัตถุดิบ ประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินธุรกิจผลิตเอทานอล จึงมีความต้องการใช้กระแสเงินสดสำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งการขายทรัพย์สินของธุรกิจอาหารจะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้ กับสถาบันการเงินในการอนุมัติเงินกู้ สำหรับโครงการเอทานอลและช่วยเสริมสภาพคล่องของบริษัทได้
ส่วนการที่บริษัทจำเป็นต้องขายทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันนั้น เนื่องจากทรัพย์สินที่ขายมีมูลค่าสูง และเป็ นทรัพย์สินที่ใช้ประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มจะประสบภาวะขาดทุนสูง ซึ่งหากบริษัทต้องการขายทรัพย์สินให้บุคคลภายนอก บริษัทก็อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานในการขาย
ส่วนเรื่องเงื่อนไขและวิธีการชำระเงินสัญญาซื้อขายทรัพย์สินนั้น แม้ว่าจะเป็นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท แต่ก็มีความเสี่ยงที่ควรพิจารณา ทั้งความเสี่ยงจากการที่ผู้ซื้ออาจจะไม่สามารถชำระราคาซื้อขาย 670.00 ล้านบาทได้ ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางประโยชน์ที่อาจทำให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับผู้ ซื้อในช่วงที่การโอนทรัพย์สินยังไม่แล้วเสร็จ ความเสี่ยงจากการไม่มีบุคคลที่สามในการตรวจสอบความมีอยู่จริงและมูลค่าของทรัพย์สิน ณ วันทำสัญญา ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารฝ่ายอาหารที่เป็นบุคคลที่มีความขัดแย้ง ทำให้รายการและมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันทำสัญญาอาจจะไม่ครบถ้วนถูกต้อง ในขณะที่ราคาซื้อขายเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการคาดการณ์ผลกำไรหรือขาดทุนจากการขายทรัพย์สินในครั้งนี้
นอกจากนี้หากบริษัทขายทรัพย์สินที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหารแล้ว การที่บริษัทยังไม่เคยประกอบธุรกิจเอทานอลและโครงสร้างเงินลงทุนในการสร้ งโรงงานผลิตเอทานอลจะผันแปรตามผลการอนุมัติของสถาบันการเงินเป็ นสำคัญ จึงทำให้ โครงสร้างเงินทุนของบริ ษัทยังไม่สามารถสรุปชัดเจนได้ ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ประกอบ เช่น การเพิ่มทุนการหาพันธมิตร เป็ นต้น อีกทั้งหากไม่สามารถดำเนินธุรกิจเอทานอลได้ บริษัทอาจพิจารณาธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวแก่ผู้ ถือหุ้ นได้แต่ถ้าบริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจเอทานอลได้ อาจถือได้ว่าบริษัทหยุดประกอบกิจการทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด บริษัทจึงมีความเสี่ยงที่อาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนได้
เมื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของราคาขายทรัพย์สินในครั้งนี้ จากการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอาหาร ซึ่งรวมถึงเงินลงทุนใน KK ที่บริษัทจะขายแล้ว ปรากฎว่า มูลค่าที่ได้จากการประเมินคือ 780.58 ล้านบาทนั้น สูงกว่าราคาขายที่ 670.00 ล้านบาท ประมาณร้อยละ 16.50 ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาขายค่อนข้างมาก บริษัทจึงควรจะชะลอการขายไว้ก่อน หรือทำการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้ราคาขายที่สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว