นางจริยา นักสอน กรรมการผู้จัดการ บมจ.อควา คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET)ในวันพรุ่งนี้ (20 ส.ค.) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าเทรดได้ในช่วงไตรมาส 4/52 โดยจะมีการเสนอขายหุ้นจำนวน 85.8 ล้านหุ้น
บริษัทจะนำเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปใช้เพิ่มพื้นที่สื่อโฆษณาใหม่ ๆ รวมถึงนำไปใช้ร่วมทุนกับบริษัทสื่อโฆษณาในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการสื่อโฆษณาในประเทศเวียดนาม 3-4 ราย, ในประเทศลาว 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งหลังปีนี้ และคาดว่าปี 53 บริษัทจะมีรายได้จากการร่วมทุนดังกล่าวเข้ามาในสัดส่วน 20%
ส่วนรายได้ปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 50 % จากปีก่อนที่มีรายได้ 278.67 ล้านบาท โดยปีนี้จะรับรู้รายได้จากบริษัทลูกเข้ามาทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท อควา พอยท์ จำกัด ซึ่งทำป้ายโฆษณาภายในอาคาร, บริษัท อควา เทเลวิชั่น จำกัด รับผลิตรายการและสื่อโฆษณาโทรทัศน์ และ บริษัท อควา คอมมูนิเคชั่น จำกัด เป็นสื่อด้านประชาสัมพันธ์และสื่อสารการตลาด
รวมทั้ง บริษัทจะมีรายได้จากการติดตั้งป้ายโฆษณากลางแจ้งที่เพิ่งเข้าซื้อบริษัทที่ผลิตป้ายดังกล่าว 2-3 แห่ง มูลค่าเข้าซื้อ 70-80 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ทำเลที่ติดตั้งป้ายโฆษณาอยู่ใน กทม.และภูเก็ต ซึ่งจะทำให้จำนวนป้ายโฆษณาบริษัทเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีป้ายโฆษณาในย่านธุรกิจของกทม.ประมาณ 90 ป้าย และ 80 ป้ายครอบคลุมทั่วประเทศ
"การที่เราเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้เราเป็นที่รู้จักและการก้าวต่อไปในการเป็นสื่อโฆษณาที่ครบวงจร...การเข้าตลาดทุนนอกจากจะทำให้เราเป็นที่รู้จัก ยังทำให้เรามี่เงินทุน และไม่ต้องห่วง Cashflow มากนัก" นายจริยา กล่าว
นอกจากนี้ เชื่อว่านายฉาย บุนนาค ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น (SSE) คงจะไม่เข้ามาซื้อหุ้น IPO ของอควาฯ เพิ่มอีก เนื่องจากปัจจุบัน อควาฯ ก็เป็นบริษัทลูกของ SSE อยู่แล้ว
ด้านนายพลสิทธิ ภูมิวสนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควา พอยท์ จำกัด คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากคาดว่าจะได้รับสัมปทานในการติดตั้งป้ายโฆษณาในอาคารเพิ่มเติม ซึ่งกำลังเจรจา 2-3 รายและมีความคืบหน้า 80%แล้ว
ส่วนการเข้าร่วมทุนในประเทศลาวและเวียดนามนั้น นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้สื่อโฆษณาในประเทศเวียดนามยังมีโอกาสเติบโต คาดเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินร่วมทุนประมาณ 1-2 ล้านเหรียญ/ราย แต่บริษัทยังไม่ตัดสินใจว่าจะตกลงได้กี่ราย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข