LANNAคาด Q3/52เริ่มรับรู้ฯเหมืองใหม่แสนตัน,เป้าปี 53ปริมาณขายโตเท่าตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 3, 2009 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA) กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในไตรมาส 3/52 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากถ่านหินจำนวน 1 แสนตัน ซึ่งเป็นผลผลิตจากเหมืองแห่งที่ 3 ที่เริ่มเปิดทำการในเดือน ก.ค.52 โดยในปี 52 คาดว่าจะมีผลผลิตถ่านหินจากเหมืองดังกล่าวราว 4-5 แสนตัน ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 8 แสนตัน-1 ล้านตัน เนื่องจากความล่าช้าของการเปิดเหมือง

"ไตรมาส 3 นี้น่าจะรับรู้รายได้จากเหมือง 3 ประมาณ 1 แสนตันแน่ๆ เพราะเป็นช่วง start แต่ก็ต้องขึ้นอยู่ที่เดือนก.ย.นี้ด้วย จะเลื่อนอีกหรือเปล่า แต่ที่ผ่านมา 2 เดือนได้ประมาณ 1 แสนตันแล้ว แต่ที่เหลือก็ยังไม่รู้แต่น่าจะได้ 3 แสนตันแน่ในปีนี้ (ก.ค.-ธ.ค.)หรือประมาณ 4-5 แสนตัน ขึ้นอยู่กับลูกค้าจะให้เราส่งหรือเปล่า"นายอนันต์ กล่าว

บริษัทยังไม่มั่นใจว่าผลผลิตจากเหมืองแห่งที่ 3 ที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้กำไรไตรมาส 3/52 จะดีกว่าไตรมาส 2/52 ที่มีกำไรสุทธิ 222 ล้านบาทตามที่โบรกเกอร์หลายรายคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นหรือไม่ เพราะยังรับรู้ไม่เต็มที่ ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งตามปกติยอดขายในไตรมาสนี้จะไม่ได้โดดเด่น เนื่องจากยอดขายก็จะชะลอไปตามกิจกรรมด้านการผลิตและการก่อสร้างมักจะลดลง

"โดยทั่วไปไตรมาส 3 จะไม่ได้อะไรมาก ยกเว้นโรงไฟฟ้าต้องลงสม่ำเสมอก็โอเค แต่โรงปูนซิเมนต์ ถ้าผลิตภัณฑ์ขายไม่ได้จะไปใช้ถ่านไปเผาอย่างไร ก็เก็บไว้ในสต็อกเท่าที่จำเป็นจะไม่รับเพิ่ม"นายอนันต์ กล่าว

ขณะที่การผลิตของเหมือง 1 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ปีนี้ก็จะเร่งส่งมอบให้ได้ครบตามที่เคยผลิตได้ประมาณ 1.5 ล้านตัน/ปี ซึ่งปัจจัยสำคัญของการดำเนินงานในขณะนี้ส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากการผลิตของบริษัท แต่เนื่องจากถ่านหินมีราคาค่อนข้างแพง ทำให้ลูกค้าบางรายขอเลื่อนส่งมอบในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่

*ปีนี้กำไรพุ่งตามราคาถ่านหิน แม้ปริมาณขายต่ำกว่าปีก่อน

นายอนันต์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทน่าจะมีกำไรสูงกว่าปีก่อน แม้ว่าในด้านรายได้จะต่ำกว่า เนื่องจากปริมาณการขายที่ลดลง ขณะที่ราคาปรับตัวดีขึ้นมาก โดยคาดว่าราคาถ่านหินเฉลี่ยในปีนี้จะใกล้เคียงกับปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 55 เหรียญฯ/ตัน ราคาขายของบริษัทก็จะอยู่ที่ประมาณกว่า 50-55 เหรียญฯ/ตัน จึงขึ้นอยู่กับปริมาณขาย หากสามารถขายได้มากก็จะส่งผลดีต่อรายได้และกำไร เพราะ ณ ระดับราคาที่ 55 เหรียญฯ/ตัน ก็เรียกว่าเป็นราคาที่คิดว่าจะได้กำไรพอสมควร

"กำไรสุทธิปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว เพราะครึ่งปีแรกกำไร 246 ล้านบาท เกือบครึ่งหนึ่งของปีที่แล้วที่กำไร 471.17 ล้านบาทแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะได้ 471 ล้านบาทขึ้นไปไม่น่าจะต่ำกว่า แต่จะไปตรงไหนไม่รู้ ไตรมาส 3-4 จะฟื้นหรือไม่ ไม่มีใครรู้เพราะถ่านในประเทศก็ชะลอลงไป"นายอนันต์ กล่าว

บริษัทคาดว่ารายได้รวมทั้งปี 52 น่าจะต่ำกว่าปีที่ก่อนที่มีรายได้ทั้งสิ้น 7,474 ล้านบาท โดยอาจจะลดลงถึง 20% มากกว่าคาดการณ์เดิมที่คิดว่าจะลดลง 10% เนื่องจากปริมาณขายลดลงจากปีที่แล้วมาก โดยในปี 52 ปริมาณขายอยู่ที่ 2.2 ล้านตัน ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2 ล้านตันเต็มที่ หรืออยู่ในช่วง 1.9-2.0 ล้านตัน มาจากผลผลิตของเหมือง 1 ที่ 1.5 ล้านตัน และ เหมือง 3 เต็มที่ราว 5 แสนตัน

"กำไรคิดว่าไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว กำไรเพิ่มขึ้นจากราคาขายถ่านหินโดยเฉลี่ยแล้วราคาน่าจะสูงกว่าเดิม ราคาถ่านหินเฉลี่ยทั้งปีไม่น่าจะต่ำกว่าตรงนี้ 55 เหรียญฯ โดยเราจะขายล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 50-60% ซึ่งปีนี้เราก็ขายล่วงหน้าของปี 53 ไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับ product mix ด้วย ต้องเฉลี่ยราคากันไป"นายอนันต์ กล่าว

สำหรับทิศทางราคาถ่านหินในช่วงครึ่งปีหลังไม่น่าจะปรับตัวขึ้นไปแล้ว เพราะคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน โดยปัจจุบันราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่แถวๆ 60-70 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งถ่านหินคงจะไม่ได้เคลื่อนไหวไปมากกว่านั้น อย่างถ่านหินราคา 50 กว่าเหรียญฯ/บาร์เรลก็จริง แต่ค่าความร้อนน้อยกว่า

*วางเป้าปี 53 ขยับปริมาณขายเพิ่มเท่าตัวเป็น 4 ล้านตัน

นายอนันต์ กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านตัน โดยมีแผนจะปรับปรุงเหมือง 1 ให้ผลิตได้เต็มที่ถึงประมาณ 2 ล้านตัน จากขณะนี้อยู่ที่ 1.5 ล้านตัน ส่วนเหมือง 3 จะผลิตได้เพิ่มเป็น 2 ล้านตัน แต่ในช่วงแรกที่เปิดทำการเหมือง 3 อาจต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการขุดหน้าดินลงไป แต่เราก็จะพัฒนาเหมืองต่อเนื่อง ซึ่งเครื่องจักรบดย่อยของเรามีความสามารถผลิตได้ประมาณ 2 ล้านตันอยู่แล้ว

"เหมือง 1 ปีหน้าก็จะดูว่าเร่งผลิตให้เป็น 2 ล้านตันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ 3.5 ล้านตัน รวม 2 เหมือง เต็มที่ได้ 3.5 ล้านตันได้แน่ๆ ปีหน้า

นอกจากปริมาณถ่านหินที่ผลิตได้เองจากเหมืองทั้ง 2 แห่งแล้ว ยังมีถ่านหินบางส่วนที่จะซื้อเข้ามาจำหน่าย(เทรดดิ้ง) โดยอาจจะซื้อเหมืองแห่งอื่นในอินโดนีเซียมาเก็บไว้ที่คลังสินค้า จ.อยุธยา แต่ในส่วนนี้ทำกำไรได้ไม่มาก เพราะเป็นการซื้อมาขายไปขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาทางธุรกิจ ซึ่งในปีนี้มียอดขายจากเทรดดิ้ง 1.5-2.0 แสนตัน และทั้งปีน่าจะได้ประมาณ 3-4 แสนตัน

*กำไรเอทานอลปีนี้ไม่สูงกว่าปีก่อน เหตุต้นทุนโมลาสพุ่ง-เจอปัญหาขาดแคลน

นายอนันต์ กล่าวถึงธุรกิจเอทานอลว่า ครึ่งปีหลังไม่น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะประเมินว่าวัตถุดิบจะขาดแคลนในไตรมาส 4/52 ซึ่งบริษัทกำลังเตรียมแก้ปัญหาด้วยการนำวัตถุดิบชนิดอื่นมาใช้แทนโมลาส โดยกำลังดูพวกแป้งที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมว่าจะใช้แทนได้หรือไม่ หากนำมาใช้ไม่ได้ก็อาจจะต้องหยุดการผลิตชั่วคราวจนถึงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ดังนั้น กำไรในส่วนเอทานอลทั้งปีไม่น่าจะเกินปีที่แล้ว เพราะครึ่งปีแรกดีมากจริง แต่ครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 3/52 โมลาสที่มีต้นทุนต่ำก็หมดไปแล้ว

"ช่วงไตรมาส 3 ยังมีโมลาสผลิตอยู่ แต่เป็นราคาตลาดตันละเกือบ 5,000 บาท เพิ่มกว่าที่เคยซื้ออยู่ 1,975-2,000 บาทแพงกว่าเป็นเท่า แล้วจะเอากำไรมาจากไหนเยอะแยะ ถ้าไตรมาส 4 หาโมลาสไม่ได้หรือหาน้ำเชื่อมมาแทนไม่ได้ ก็อาจจะหยุดไปเตรียมความพร้อมของเครื่องจักรที่จะเร่งต้นปีหน้าหรือปลายปีนี้ กำไรก็จะหายไปอีกส่วนหนึ่ง"นายอนันต์ กล่าว

บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายตลาดส่งออกเอทานอลในอินเดียเพิ่มขึ้นอีก และมองไว้ในฟิลิปปินส์ด้วย แต่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะประเทศใกล้ๆ ในแถบเอเชียเราก็ส่งออกไปขายเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง และอินเดีย ซึ่งมีกลุ่มโฮสินกรุ๊ป ซึ่งทำซีเมนต์ แต่คงไม่ได้เข้าไปในจีน เพราะลูกค้าเราไม่ได้พึ่งตลาดจีนเราจึงไม่ได้มองตรงนั่น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ