เครือ SCG แจงกำไร Q3/52 โต 18% ตามธุรกิจเคมีภัณฑ์-กระดาษ-วัสดุก่อสร้าง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 28, 2009 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปูนซิเมนต์(SCC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/52 ของเครือซิเมนต์ไทย(SCG)มีกำไรสุทธิ 6,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากผลที่ดีต่อเนื่องของธุรกิจกระดาษและธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยมี EBITDA ที่ 12,805 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อน มาจากยอดขายสุทธิ 64,543 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อนตามราคาขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น

หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน SCG มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18% จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 8% เนื่องจากปริมาณขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจกระดาษและธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ขณะที่ SCG มียอดขายลดลง 19% เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง

ส่วนช่วง 9 เดือนของปี 52 มีกำไรสุทธิ 19,013 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนได้เสียในกำไรบริษัทร่วมของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลงและผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจกระดาษในไตรมาส 1/52 โดย EBITDA อยู่ที่ 37,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขายสุทธิเท่ากับ 176,634 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

SCG ระบุว่าช่วงไตรมาส 3/52 ธุรกิจเคมีภัณฑ์มีผลดำเนินงานที่ดี จากปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น ประกอบกับความล่าช้าของโครงการใหม่ ทำให้ราคาเฉลี่ย Naphtha เพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐและยุโรป ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลขับขี่ ราคา Monomer และ Polymer ยังอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากความล่าช้าของโครงการในประเทศแถบตะวันออกกลางและประเทศจีน ในขณะที่ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องปรับตัวเพิ่มขึ้น

ราคา Polyolefins ยังคงอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากความล่าช้าของโครงการใหม่ๆ ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 17,200 ตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้มีการดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลัง ขณะที่ในไตรมาสก่อนมีการหยุดผลิตของโรงงาน downstream แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปริมาณขายเพิ่มขึ้น 25,900 ตัน

ยอดขายสุทธิของธุรกิจเคมีภัณฑ์ 29,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคา Polymer และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง มี EBITDA เท่ากับ 5,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 21% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และการผลิตเต็มกำลัง โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ SCG ระบุว่าคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลาง ที่สั่งให้หน่วยงานราชการทั้ง 8 ระงับ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดระยองนั้น ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของโครงการลงทุนใหม่ของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในพื้นที่มาบตาพุดที่มีกำหนดจะเริ่มผลิตในช่วงครึ่งปีแรก ในปี 2553

ด้านธุรกิจกระดาษมีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานที่เวียดนาม และปริมาณความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาเศษกระดาษปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเริ่มดำเนินการผลิตของโครงการใหม่

ในไตรมาสนี้ธุรกิจกระดาษมียอดขายสุทธิ เท่ากับ 11,233 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมี EBITDA เท่ากับ 2,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์ ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์เทาภายในประเทศโดยรวม เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนจากโครงการลงทุนสร้างถนนในชนบทของภาครัฐบาล โดยในช่วง 9 เดือนของปี 52 ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์เทาในประเทศโดยรวม เท่ากับ 18.1 ล้านตัน ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ปริมาณขายปูนซีเมนต์เทาในประเทศเป็นไปตามสภาวะตลาดโดยรวม โดยราคาปูนเทาในประเทศเฉลี่ยที่ 1,750 บาท/ตัน จาก 1,700 บาท/ตันในไตรมาสก่อน และราคาในไตรมาส 3/51 อยู่ที่ 1,950 บาท/ตัน ส่วนปริมาณการส่งออกปูนเทา 1.9 ล้านตัน ลดลง 0.4 ล้านตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและใกล้เคียงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ไตรมาสนี้ยอดขายสุทธิของธุรกิจซิเมนต์เท่ากับ 11,527 ล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายในประเทศลดลง อีกทั้งปริมาณและราคาขายส่งออกลดลง รวมถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้น 5% จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น โดยมี EBITDA เท่ากับ 2,785 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างทำยอดขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนตามปัจจัยฤดูกาล ภาวะของตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในประเทศยังชะลอตัว ยอดขายสุทธิเท่ากับ 6,786 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ บมจ.ไทย-เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรี่ (TGCI) (เป็น

ธุรกิจจัดจำหน่ายทำผลงานเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมียอดขายสุทธิไตรมาส 3/52 เท่ากับ 22,217 ล้านบาท ลดลง 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายที่ลดลง แต่เพิ่มขึ้น 6 % จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากธุรกรรมการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยมี EBITDA เท่ากับ 504 ล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิ 357 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน

ในไตรมาส 3/52 เครือ SCG มีหนี้สินสุทธิ 122,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,649 ล้านบาท จากไตรมาส 2/52 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 2.5 เท่า ดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายทางการเงินเท่ากับ 1,351 ล้านบาท และมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 4.8%

รายจ่ายลงทุน (CAPEX) และเงินลงทุนของ SCG ในช่วง 9 เดือนของปี 52 มีมูลค่าการลงทุนเท่ากับ 27,580 ล้านบาท โดยทั้งปี 52 คาดว่าจะมี CAPEX 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ Naphtha Cracker แห่งที่ 2 ,โครงการ Waste-Heat Power Generation โครงการโรงงานกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่เวียดนาม และโครงการลงทุนอื่นๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ