นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะนำหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของไทยไปจดทะเบียนในลักษณะ Dual Listing ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจำนำบจ.รายแรกเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไต้หวัน ซึ่งมีมูลค่าระดมทุนราว 800-1 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือมีกับทางโบรกเกอร์ไต้หวันในการนำบริษัทจดทะเบียนของไต้หวันเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วย คาดว่าจะเห็นได้ในไตรมาส 1/53 โดยทางบริษัทไต้หวันต้องการให้บริษัทเป็นที่ปรึกษาในการหาผู้ร่วมทุนให้ด้วย
"ถือเป็นการร่วมมือกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ที่ตอนนี้มี 3 ราย ฮ่องกง และไต้หวัน 2 ราย หุ้นจากต่างประเทศที่จะนำมาจดทะเบียนมีหลากหลาย อาทิ กลุ่มออโต้ size ไม่เกิน 1 พันล้านบาท...การที่ทำธุรกรรมดังกล่าว อย่างที่ไต้หวันจะได้กำไรจากการลงทุนในอัตราที่สูงกว่า อย่าง พี/อีของไต้หวัน 70 เท่า ผลตอบแทนก็เยอะกว่า"นายชนะชัย กล่าวนายชนะชัย กล่าวว่า ธุรกรรมดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจ(Investment Banking:IB) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้าคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากงาน IB เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีนี้อยู่ที่ 5% อีกทั้งยังจะเป็นการเพิ่มรายได้ที่นอกเหนือจากการพึ่งพิงรายได้จากค่าคอมมิชชั่นอย่างเดียว เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับการเปิดเสรีโบรกเกอร์ในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมแผนการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในปีหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด โดยมองประเทศในแถบเพื่อนบ้าน เช่น ลาวที่จะเปิดทำการตลาดหุ้นในปีหน้า เนื่องจากการลงทุนต่างประเทศมีผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศภายใต้เงินลงทุนเท่ากันและกฎระเบียบไม่มากนัก
ปัจจุบัน บริษัทมีพอร์ตลงทุนที่ 80 ล้านบาทและมีผลตอบแทน 25% จากที่ทำมาเพียง 3 เดือน โดยหาก บล.โกลเบล็ก สามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปีหน้า ก็จะต้องเพิ่มพอร์ตลงทุนมากขึ้นราว 150-200 ล้านบาท และยังวางวงเงินในตลาด OTC 50-80 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมกับโบรกเกอร์ที่ร่วมมือกันไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท
นายชนะชัย กล่าวต่อไปว่า จากการที่บริษัทมีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจซื้อขายทองคำและตลาดอนุพันธ์(TFEX)รวมทั้งการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้คาดว่ารายได้ในปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% จากปี 52 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 600 กว่าล้านบาทและกำไรไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
"ผมเชื่อว่าจะเห็นแนวโน้มบริษัทไทยไปจดทะเบียนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะค่าพี/อีก็สูงกว่าไทย รีเทิร์นก็ดีกว่า ภายใต้เงินลงทุนที่เท่ากันและยังมองว่า การไปจดทะเบียนต่างประเทศจะเป็นรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ของ IB เพราะการทำธุรกิจ IB ในประเทศตอนนี้มีการตัดราคากันเกิดขึ้น"นายชนะชัย กล่าวปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจหลักทรัพย์มีสัดส่วนที่ 55% TFEX 15% การลงทุน 25% IB และดอกเบี้ยมาร์จิ้นโลน 5% แต่ปีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ 50% ขณะที่ IB มากกว่า 10% และการลงทุน 20% และ TFEX 20%