สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน เสนอปรับหลักเกณฑ์เอื้อการระดมทุนในตลาดรอง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 23, 2009 16:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีระพล ลาชโรจน์ นักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมมนาเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยประจำปี 52 ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชนในตลาดรอง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีการระดมทุนในตลาดรองในอัตราต่ำกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย

ตั้งแต่ปี 43-มิ.ย.52 มีมูลค่าการเพิ่มทุน 8 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยกว่าต่างประเทศโดยมีอัตราเฉลี่ยการระดมทุนในตลาดรองที่เสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไป เทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) โดยในช่วงปี 48-51 พบว่าไทยมีค่าเฉลี่ย 0.14% ต่อปี ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคเช่นฮ่องกง 0.87% อินโดนีเซีย 0.60%

การที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการระดมทุนต่ำกว่าต่างประเทศ จากการศึกษาพบว่าไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่น เช่น หากภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัว มูลค่าการระดมทุนก็จะลดลง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงและทำให้มีต้นทุนที่สูง จึงทำให้เกิดการระดมทุนได้ยาก ซึ่งที่ผ่านมามูลค่าการระดมทุนของไทยปรับตัวลดลงมากโดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ไม่มีการระดมทุนในตลาดรองเลย แต่ในภูมิภาคยังมีการระดมทุนค่อนข้างสูง

สำหรับแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนนั้น นายธีระพล กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐควรมีการปรับกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อจำกัด เช่น ในเรื่องการเพิ่มทุน ควรจะมีการยกเลิกใช้ราคาพาร์เป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง เนื่องจากราคาพาร์ไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ปัจจุบัน สิงคโปร์ ฮ่องกง นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียได้ยกเลิกการใช้ราคาพาร์ เป็นเกณฑ์อ้างอิงในเรื่องการเพิ่มทุน

โดยเห็นตัวอย่างจากอุปสรรคการเพิ่มทุนของ บมจ.บัตรกรุงไทย(KTC) ในปี 52 ราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่าราคาพาร์ แต่บริษัทไม่มีขาดทุนสะสม อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นต้องเพิ่มทุนของบริษัททำให้บริษัทต้องเสนอขายหุ้นที่ราคาพาร์ ซึ่งทำให้เกิดส่วนต่างระหว่างราคาเสนอขายและราคาหุ้นในตลาอดในระดับสูง จึงมีส่วนทำให้การขออนุมัติเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ มีบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องการเพิ่มทุนแต่ติดปัญหาการใช้ราคาพาร์ เป็นเกณฑ์จึงเปลี่ยนไปใช้การระดมทุนโดยวิธีอื่นแทน เช่น การกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์

อีกทั้ง ควรปรับสัดส่วนการให้ความเห็นชอบของผู้ถือหุ้นสำหรับการอนุมัติเพิ่มทุนเป็นไม่น้อยกว่า 50% ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง จากเดิมต้องไม่น้อยกว่า 75% เพื่อให้บริษัทมีความคล่องตัวในการเพิ่มทุนมากขึ้น เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไม่สามารถเพิ่มทุนได้แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ (เกินกว่า 50%)จะอนุมัติ

ขณะที่ต่างประเทศยังคงใช้เกณฑ์คะแนนเสียง 75% ในบางเรื่อง แต่ใช้เกณฑ์คะแนนเสียงที่ 50% ในเรื่องของการเพิ่มทุน

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ควรพิจารณานำหลักการขออนุมัติเพิ่มทุนล่วงหน้า (general mandate) โดยสร้างเป็นรูปแบบมาตรฐานในเรื่องการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนมาประยุกต์ใช้กับบริษัทจดทะเบียนไทย เพื่อช่วยให้บริทจดทะเบียนไทยสามารถตอบสนองกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและลดปัญหาการระดมทุนในตลาดรอง

เนื่องจากในระยะที่ผ่านมา การระดมทุนในตลาดรองของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็วนับจากปี 2549 ที่มีอัตรา 10.6% โดย 6 เดือนแรกของปี 52 -4.4% และมีลักษณะ procyclicality ซึ่งสะท้อนได้ว่า บริษัทจดทะเบียนของไทยประสบปัญหาการระดมทุนในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาลงมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ