8 โบรกเกอร์เห็นพ้องเศรษฐกิจไทยปี 53 ฟื้นตัว โดยคาดตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)เติบโตในช่วง 3.0-4.2% และส่วนใหญ่มองแนวโน้มเงินบาทน่าจะยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดยให้ค่าเฉลี่ยไว้ในช่วง 32.0-34.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในปีหน้า(53)คงจะแกว่งตัวแต่ไม่แรง จนถึงขั้นผันผวนบ้าง เนื่องจากยังมีปัจจัยทางการเมืองหลายเรื่องกดดันอยู่ แต่น่าจะเห็นทิศทางของตลาดฯดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่วนกรณีมาบตาพุดก็ยังคงต้องติดตามแนวทางแก้ไขต่อไป
พร้อมมองเป้าดัชนี SET ปี 53 ไว้ในช่วง 740-900 จุด และคาดว่า Earning Growth ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ในปี 53 อยู่ในช่วง 10.7-16.0%
โบรกเกอร์ ปี 2553(คาดการณ์)ตัวเลข GDP(%) ดัชนี SET(จุด) Earning Growth(%) ค่าเงิน(บาท/ดอลลาร์ฯ)
บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) +3.5 740 13.0 34.5 บล.เอเชีย พลัส +3.0 760-820 13.16 33.5-34.0 บล.ทรีนิตี้ +3.6 900 15.0 32.0-32.5 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) +3.0 810 12.1 33.5 บล.ทิสโก้ +3.8 795 14.0 32.5 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) +4.0 900 14.23 32.0-33.0 บล.ดีบีเอส(ประเทศไทย) +4.2 828 16.0 33.5 บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) +3.0 650-820(เฉพาะQ1/53)10.7 33.25นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองเป้าดัชนี SET ปี 53 ในกรอบ 760-820 จุด คิดเป็นค่า P/E 12-14 เท่า ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ(Earning Growth)คิดเป็น 13.16% และคาดการณ์ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ(GDP)ของไทยเติบโต 3%
ทั้งนี้ มองว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีหน้าอาจมีการผันผวนอยู่บ้าง อันเนื่องมาจากมีปัจจัยทางการเมืองหลายเรื่องกดดันอยู่ แต่ก็น่าจะผ่อนคลายลงได้หลังไตรมาส 2/53 ไปแล้ว ก็น่าจะเห็นทิศทางของตลาดฯที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่วนกรณีของมาบตาพุดก็ยังคงต้องติดตามแนวทางแก้ไขต่อไป
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้า มองว่าน่าจะดีขึ้น จากการเบิกจ่ายงบของภาครัฐฯ และการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออกที่น่าจะดีขึ้น โดยคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทน่าจะอยู่ในช่วง 33.5-34.0 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปีนี้ จึงน่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออก ซึ่งเงินบาทที่อาจจะอ่อนค่าลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 53 อาจจะปรับตัวขึ้นได้บ้าง และหนี้สาธารณะที่น่าจะเกิน 50% ต่อจีดีพี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องระวังให้ดี
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)หรือ CIMB กล่าวว่า บริษัทฯได้คาดการณ์ GDP ของไทยในปี 53 เติบโต 3.5% ส่วนเป้าดัชนี SET คาดการรณ์ไว้ที่ 740 จุด อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯคิดเป็น 13%
ทั้งนี้ มองว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นได้ โดยจุดหลักมองที่รัฐบาลจะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีเรื่องของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ตาม แต่ไม่น่าจะมีพลังมากนัก เพียงแต่รัฐบาลอย่าไปทำอะไรที่ออกมาในลักษณะการคอรัปชั่น หรือไปทำปัญหาอะไรที่ร้ายแรง
สำหรับค่าเงินบาทในปีหน้าคาดว่าจะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 34.5 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยภายนอกประเทศอาจจะมีการขยับตัวขึ้น และจะส่งผลให้ให้เม็ดเงินไหลออกนอกประเทศไปบางส่วน แต่การอ่อนค่าลงของเงินบาทในปีหน้าก็ไม่น่ากังวลอะไร และน่าจะเป็นผลดีต่อไทย เพราะเราอยากให้อ่อนค่าอยู่แล้ว
นายเกษม กล่าวต่อว่า ส่วนปีนี้คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ของไทยน่าจะติดลบ 2.8% ส่วนเป้าดัชนี SET ปีนี้จะอยู่ที่ 720 จุด โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯอยู่ในระดับ 13%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ทางบริษัทฯได้คาดการณ์อัตราการเติบโตของตัวเลข GDP ของไทยในปี 53 ไว้ที่ +3.6% และมีเป้าดัชนี SET ณ สิ้นปี 53 ที่ 900 จุด ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 15%
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 53 น่าจะดีกว่าปี 53 โดยจะได้เห็นการฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากโครงการไทยเข้มแข็ง น่าจะเริ่มเห็นในช่วงไตรมาส 1/53 และช่วงดังกล่าวอาจจะได้เห็นตัวเลข GDP มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 52 ที่มีฐานต่ำ อีกทั้งการส่งออกและภาคการผลิต ขณะนี้เริ่มที่จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว
ส่วนค่าเงินบาทคาดการณ์ไว้ที่ 32.0-32.5 บาท/ดอลลาร์ มองว่ายังน่าจะแข็งค่าต่อ แต่ไม่มาก เนื่องจากคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังน่าจะอ่อนค่า และเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยจะฟื้นตัวตามได้ แม้เงินบาทจะยังแข็งค่าในปีหน้าก็ตาม และอาจจะมีผลต่อผู้ประกอบการบางรายบ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่น่าจะแย่
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 53 คาดว่าน่าจะเป็นลักษณะของการแกว่งตัวแต่ไม่แรง และจะมีการเลือกเล่นเป็นรายกลุ่ม อย่างไตรมาส 1-2/53 ก็จะหันไปซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังก็อาจจะหันมาเล่นหุ้นในกลุ่มแบงก์