PRG ขึ้นราคาขายข้าวต้นปีตามต้นทุนพุ่ง-ออกสินค้าใหม่ ดันรายได้โต 20-30%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 25, 2009 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี(PRG)เล็งปรับขึ้นราคาข้าวถุง"มาบุญครอง"ในช่วงเดือน ม.ค.53 ราว 10-20% หลังอั้นมานานจนกระทั่งราคาข้าวปรับขึ้นมาสูงถึง 30% แล้ว พร้อมจับมือพันธมิตรศึกษาเพิ่มมูลค่าน้ำมันรำข้าวและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดรายได้ โดยตั้งเป้างวดปี 52/53 รายได้เติบโต 20-30%

นายสมเกียรติ มรรคยาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ PRG กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ต้นทุนข้าวหอมมะลิปกติอยู่ที่ประมาณ 80% แต่ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.52 ต้นทุนขึ้นมาเป็น 88% ซึ่งเชื่อว่าเมื่อมีการขยับราคาขายหลังปีใหม่ต้นทุนก็จะกลับมาอยู่ที่ประมาณ 80% เฉพาะข้าวหอมมะลิ ส่วนข้าวขาวตอนนี้ต้นทุนก็ยังอยู่ในระดับ 80%

"ตอนนี้เราไม่อยากที่จะปรับราคาขายรวดเร็วเนื่องจากคำนึงถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็พยายามดึงราคาข้าวถุงไว้อยู่เนื่องจากไม่อยากให้ปีใหม่ราคาปรับแรงตอนช่วงปลายปีถึงต้นปีเพราะเป็นเทศกาลที่ทุกคนกำลังเบิกบานอยู่..คิดว่าจะแบกจนถึงปีใหม่"นายสมเกียรติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาข้าวจะยังทรงตัวอยู่ในช่วงนี้หลังจากปรับสูงขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว โดยจะต้องรอดูความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเดือน ก.พ.หากยืนได้จนพ้นเดือน ก.พ.ไป ก็คาดว่าหลังจากนั้นราคาคงจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีผลผลิตใหม่ของข้าวนาปีออกมาเร็ว ก็อาจจะทำให้ราคาอ่อนตัวลงได้

นายสมกียรติ กล่าวว่า ปีนี้ข้าวส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือชาวนาที่เก็บเข้ายุ้งฉางไว้ เมื่อถึงเวลาต้องจับจ่ายใช้สอยช่วงต้นปีก็คงต้องระบายออกมาบางส่วน ถ้าเทียบแนวโน้มวงจรราคาข้าวหอมมะลิกับข้าวขาวจะเหมือนกัน คือราคาจะเริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยตั้งแต่เดือนก.พ.-มิ.ย.จากนั้นจะเริ่มทรงตัวและปรับราคาสูงขึ้นจนกระทั่งถึงในช่วงปลายปี

"ตอนนี้คาดการณ์ค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าดูปริมาณผลผลิตในระหว่างนี้เข้าใจว่าราคาน่าจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้าเดือน ก.พ.น่าจะยังคงระดับราคานี้อยู่" นายสมเกียรติ กล่าว

นายสมเกียรติ กล่าวว่า การที่ราคาข้าวหอมมะลิปรับขึ้นส่วนหนึ่งในแง่ของหลักการคงจะเป็น ratio ที่เหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าหากเป็นช่วงเวลาที่ขยับขึ้นในขณะที่เราก็มีสต็อกอยู่บ้างบางส่วน ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรจากสต็อก

*ศึกษาเพิ่มมูลค่าน้ำมันรำข้าว-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดรายได้

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเพิ่มมูลค่าน้ำมันรำข้าว โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200-250 ล้านบาท ซึ่งจะสรุปและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในไตรมาส 2/53 ในเบื้องต้นจากการศึกษาแนวโน้มรายได้และกำไรค่อนข้างดี หากดำเนินการได้ตามแผนงานก็จะช่วยเพิ่มรายได้ปีละประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้ผลิตรำข้าวนึ่ง

"เราพยายามจะเข้าไปร่วมกับผู้ผลิตข้าวนึ่ง เพราะในส่วนที่เป็นแหล่งซัพพลายสกัดมาจากรำข้าวนึ่ง"นายสมเกียรติอ กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทระบุว่ากำลังเจรจาร่วมทุนผู้ผลิตข้าวนึ่งรายใหญ่ โดยจะซื้อที่ดินที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงสีข้าวในจ.อยุธยาเพื่อตั้งโรงงานสกัดน้ำมันรำข้าว ซึ่งจะมีการย้ายเครื่องจักรจากโรงงานปทุมธานีและงลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม ขณะที่มีแผนขายโรงไฟฟ้าพลังงานแกลบที่อยู่ในบริเวณโรงงานเดิม

นายสมเกียรติ ยังกล่าวว่า ในช่วงเดือน มี.ค.53 บริษัทจะส่งสินค้าตัวใหม่"กาบาดิ้ง"ออกสู่ตลาด คาดว่าจะทำรายได้ปีแรกราว 20-30 ล้านบาท โดยร่วมกับบริษัท อินโนฟูดส์ ซึ่งเป็นบริษัทลูก ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นผงชงดื่มสำเร็จรูปที่ใช้เทคโนโลยีที่พิเศษละลายได้ทันที ไม่เหมือนกับผงชงดื่มทั่วไปที่ละลายยาก จะเป็นการจ้างผลิตภายใต้เทคโนโลยีของบริษัท ขณะที่บริษัทจะนำมาทำการตลาดและจัดจำหน่ายเอง

นอกจากนี้ บริษัทยังศึกษาการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมไปเรื่อยๆ ด้วยการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ เช่นเดียวกับลักษณะของน้ำมันรำข้าว ที่มีการสกัดหลายรูปแบบ ซึ่งจะให้ผลิตภัณฑ์ออกมาแตกต่างกันไป เช่น น้ำมันเพื่อปรุงอาหาร หรือน้ำมันเพื่อใช้ดื่ม หรือใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ

*รายได้ปี 52/53 โต 30% จากธุรกิจเดิม-ขยายการส่งออกเพิ่ม-ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

นายสมเกียรติ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานงวดปี 52/53(ก.ค.52-มิ.ย.53)จะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากงวดปี 51/52 ราว 20-30% มาที่ 2,500-2,600 ล้านบาท รายได้จะอยู่ภายใต้ธุรกิจเดิม ไม่รวมผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มน้ำมันรำข้าวที่คาดว่าจะไปรับรู้ฯ ในช่วงปี 54 และ 55

รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการขยายตลาดส่งออก และจากที่คาดว่าผลผลิตข้าวมีแนวโน้มจะไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด โดยขณะนี้บริษัทเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศตามแผนงานเพื่อไปสู่เป้าหมายสัดส่วนรายได้ในประเทศและส่งออกปรับมาเป็น 50:50 โดยขณะนี้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 20-30% และงวดปี 52/53 จะเพิ่มเป็น 40% แต่ในอนาคตมองว่าอาจจะส่งออกไปถึง 70% ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยจะเน้นไปทางตลาดยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย เป็น 3 ตลาดหลัก

"รายได้ปี 52/53 ที่จะโต 30% ยังเป็นธุรกิจเดิมและเน้นภาคส่งออกมากขึ้นและอาจจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แนวโน้มที่ตั้งเป้าสำหรับการส่งออกในช่วง 3 ปี คือ 50:50 แต่ภายใน 5 ปีข้างหน้าคงจะขึ้นไปถึง 70%"นายสมเกียรติ กล่าว

นายสมเกียรติ กล่าวว่า การที่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มการส่งออก เนื่องจากเป็นการทำให้เรามีการเดิน Full capacity ได้ดีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทางด้านประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น และต้นทุนการผลิตอาจจะลดลง เช่นข้าวกาบาไรซ์ตอนนี้อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตและผลักดันยอดขายตามเป้าที่ เนื่องจากกำลังการผลิตเดิมจะทำยอดขายน้อยมาก เพราะผลิตได้เดือนละแค่ 5 ตัน

"ก็จะทำให้กำไรจากมาร์จินทั้งพอร์ตไม่ว่าจะในประเทศหรือจะเป็นส่งออกจะดูดีขึ้นในอนาคต เป็นการปรับทางด้าน scale ของการผลิตเพื่อให้ขยายใหญ่ขึ้น แต่จริงๆ สำหรับข้าวไม่ได้เยอะมาก ข้าวเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แปลว่าทำเยอะมากแล้วจะกำไรมาก แต่ก็มีระดับหนึ่ง"นายสมกียรติ กล่าว

ในปี 52/53 ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 200-300 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของธุรกิจรำข้าว 100 กว่าล้านบาท ทำให้คาดว่ากำไรงวด 52/53 ยังไม่ดีนัก แต่ไตรมาส 3(ม.ค.-มี.ค.53)น่าจะดีขึ้นบ้าง จากไตรมาส 2(ต.ค.-ธ.ค.52)ที่น่าจะทรงๆ แต่จะมีรายได้จากเงินปันผลจากการลงทุนของบริษัทแม่เข้ามาประมาณ 100 ล้านบาท

นายสมเกียรติ กล่าวว่า ถึงแม้กำไรจะลดลงแต่โดยปกติเราไม่เคยจ่ายเงินปันผลลดลง และในปีหน้าก็คิดว่าควรจะต้องจ่ายตามที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น

"ถึงแม้กำไรลดลงแต่ปันผลเราก็ไม่ได้น้อยลงกว่าเดิม เราก็เอากำไรที่สะสมมาปันผล"นายสมเกียรติ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ