ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร SSI ที่ BB+, เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Positive

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 21, 2010 14:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่ระดับ “BB+" พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Positive" หรือ “บวก" จาก “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำตลาดภายในประเทศของบริษัท ภาวะตลาดที่ผู้ผลิตภายในประเทศได้รับการปกป้องในรูปของโควต้าและอากร และการมีโครงสร้างต้นทุนแบบผันแปรซึ่งมีผลทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการผลิต ในขณะที่จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งผู้ประกอบการภายในประเทศและต่างประเทศ

ตลอดจนลักษณะของอุตสาหกรรมเหล็กที่มีความผันผวนและราคาที่มีความผันแปรสูง ความเสี่ยงจากลักษณะธุรกรรมที่มักมีการทำสัญญาซื้อขายเหล็กระยะสั้นเพียง 1-3 เดือน และความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่มีสินค้าเพียงประเภทเดียวและมีโรงงานเพียงแห่งเดียว

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่เร็วกว่าคาดจากการมียอดขายที่แข็งแกร่งถึงแม้จะมีอัตรากำไรติดลบ

ทริสเรทติ้ง คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดียิ่งขึ้นในระยะใกล้จากการมียอดขายที่แข็งแกร่งและการแข่งขันในตลาดภายในประเทศที่ลดลง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะยังมีผลกำไรที่เพียงพอและสามารถบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอตลอดช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมเหล็กมีราคาผันผวนอย่างมาก

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน(Hot Rolled Coil)ภายในประเทศทั้งหมด 3 ราย โดย SSI เป็นผู้นำตลาดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและยอดขาย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 39% เมื่อเทียบกับ 22% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเป็นผลมาจากการที่คู่แข่งสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากปัญหาทางการเงินและการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่ลดลง

กระบวนการผลิตของบริษัทแตกต่างจากโรงงานผลิตเหล็กแบบครบวงจรและโรงหลอมเหล็กขนาดเล็กโดยทั่วไปเนื่องจากบริษัทไม่ได้ผลิตเหล็ก แต่นำเหล็กแท่งแบนกึ่งสำเร็จรูป(Semi-finished Slab)ไปผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นเหล็กแผ่นชนิดม้วน (Flat-rolled Coil) บริษัทมีโรงงานเพียงแห่งเดียวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเลือกสถานที่ตั้งโรงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งทั้งในด้านการรับวัตถุดิบและการจัดส่งผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป

บริษัทมีรายได้จากยอดขายภายในประเทศ 88% ของยอดขายรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐในระดับหนึ่ง ผู้ประกอบการภายในประเทศจึงได้รับประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดของรัฐบาลซึ่งอยู่ระหว่าง 3.45%-128.11% สำหรับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากผู้ผลิต 14 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการภายในประเทศยังคงได้รับผลกระทบในด้านลบจากการนำเข้าเหล็กราคาถูกในปริมาณมากจากประเทศที่ไม่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน

ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของ SSI เกิดจากการมีโรงงานเพียงแห่งเดียวโดยจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในกรณีที่โรงงานหยุดดำเนินการนอกแผน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสด นอกจากนี้ การขาดทั้งกระบวนการผลิตที่ครบวงจรและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยังส่งผลให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนด้านอุปสงค์และอุปทานของเหล็กแท่งแบนและเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนในตลาดโลกด้วย การขาดการผลิตต้นน้ำทำให้บริษัทต้องสำรองวัตถุดิบที่หลากหลายเพื่อให้เพียงพอกับการผลิตตามคำสั่งของลูกค้า ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและทำให้มีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีโครงสร้างต้นทุนที่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนผันแปร ซึ่งทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการผลิต โดยสามารถปรับตารางการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ของตลาดได้ นอกจากนี้ การที่บริษัทเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย เป็น 50.15% น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการตลาดให้แก่บริษัทด้วยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายเหล็กคุณภาพสูงเมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัว

ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 อ่อนตัวลงโดยได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาวัตถุดิบที่สูงซึ่งคงค้างมาจากปี 51 และต่อเนื่องถึงปี 52 ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทติดลบ 4,360 ล้านบาท และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายติดลบ 15.9%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/52 น่าจะดีขึ้นจากการมียอดสั่งซื้อในปริมาณสูงและกำไรปรับตัวดีขึ้นหลังจากบริษัทใช้วัตถุดิบราคาสูงไปหมดแล้ว บริษัทคาดว่ายอดขายไตรมาส 4/52 จะสูงถึง 600,000 ตัน ซึ่งจะเป็นปริมาณขายรายไตรมาสที่สูงที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทน่าจะมีผลประกอบการขาดทุนในปี 52 แต่เมื่อรวมรายการโอนกลับค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือแล้วก็จะทำให้บริษัทกลับมามีกำไรได้

ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดภายในประเทศเอาไว้ได้ ในขณะที่ภาครัฐดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะส่งเสริมความต้องการเหล็กภายในประเทศก็จะช่วยให้บริษัทสามารถฟื้นตัวจากการขาดทุนได้ภายในปี 54

ถึงแม้ว่าเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 ของบริษัทจะติดลบ แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานกลับเป็นบวกเนื่องจากการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานลดลง ณ เดือนกันยายน 52 ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ 17,264 ล้านบาท ลดลงจาก 23,858 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 51 ซึ่งเป็นผลจากราคาเหล็กที่ลดลงและระดับสินค้าคงเหลือทั้งในส่วนของเหล็กแท่งแบนและเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนลดลง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ เดือนกันยายน 52 ลดลงเป็น 50.85% เมื่อเทียบกับ 58.70%

ณ เดือนธันวาคม 51 การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหนี้ทำให้บริษัทยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีในช่วงอุตสาหกรรมตกต่ำที่ผ่านมา บริษัทยังได้รับการผ่อนผันจากเจ้าหนี้อันเนื่องมาจากการที่บริษัทไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขในส่วนของอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการต่ออายุวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานระยะสั้นจากเจ้าหนี้ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ