นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการ THAI เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเห็นชอบการจัดหาเครื่องบินเฟสแรก ในปี 53-57 ระยะเวลา 5 ปี โดยจัดหาเครื่องบินจำนวน 15 ลำ วงเงินลงทุนรวม 3.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เป็น การจัดหาเครื่องบินภูมิภาค ขนาดความจุประมาณ 300 ที่นั่ง จำนวน 7 ลำ โดยวิธีเช่าทางการเงิน (Financial Lease) วงเงินลงทุนประมาณ 31,259 ล้านบาท และ การจัดหาเครื่องบินข้ามทวีป ขนาดความจุประมาณ 350 ที่นั่ง จำนวน 8 ลำ โดยวิธีเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) เป็นระยะเวลา 10-15 ปี คาดว่าใช้วงเงินผูกพัน 7-8 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ให้จัดหาอะไหล่เครื่องยนต์ จำนวน 2 เครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินภูมิภาค ในวงเงินประมาณ 922 ล้านบาท และการจัดหาเครื่องยนต์อะไหล่ 3 เครื่องยนต์ สำหรับเครื่องบินข้ามทวีป วงเงินลงทุนประมาณ 3,303 ล้านบาท
ส่วนโครงการจัดหาเครื่องบินในช่วงปี 59-63 ในเฟส 2 จะจัดหาเครื่องบินมากกว่า 30 ลำขึ้นไป
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนปลดระวางเครื่องบินประมาณ 70 ลำ โดยเฟสแรกเมื่อจัดหาเครื่องบินได้ 15 ลำ จะปลดระวางเครื่องบิน 25 ลำ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีฝูงบินทั้งหมด 88 ลำ อายุเฉลี่ยประมาณ 11 ปี ส่วนเฟส 2 จัดเครื่องบินอีก 30 ลำ และปลดระวาง 45 ลำ ซึ่งเมื่อสิ้นปี 63 บริษัทจะมีฝูงบินทั้งหมด 102 ลำ เฉลี่ยอายุ 7-8 ปี
"ที่เราตัดสินใจหาเครื่องบินในเฟสแรก โดยใช้วิธีการเช่า 8 ลำ และซื้อ7 ลำ โดยใช้เงินลงทุน 3-3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อจะทำให้ D/E อยู่ที่ 2 ต่อ 1 คณะกรรมการไม่ต้องการให้บริษัทแบกภาระเรื่องต้นทุนการเงินมาก แม้ว่า การเช่าเครื่องบินจะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าการซื้อ แต่ฐานะการเงินขณะนี้เราพอจะซื้อได้ตามที่เรามี EBIDA ซึ่งขณะนี้แผนเพิ่มทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาของคลัง" นายอำพน กล่าว
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการปรับปรุงนโยบายการจัดทำการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันอากาศยาน ซึ่งบริษัทจะต้องจัดให้มีการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยวางกรอบให้ไม่ต่ำกว่า 20% และไม่เกิน 80%ของปริมาณการใช้เฉลี่ยต่อเดือน เพื่อลดความผันผวนของต้นทุนด้านน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ หรือคิดเป็น 30%ของต้นทุนทั้งหมด และเพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ คณะกรรมการยังได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นมาดูแลและรับผิดชอบการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมัน โดยมีนายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่(ดีดี)เป็นประธาน
"บอร์ดให้หลักการไว้ให้ Hedging น้ำมันได้ถึง 80% และไม่ต่ำกว่า20% จากเดิมที่เคยวางกรอบไว้ 50% เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ให้แคบลง เพราะเห็นว่าในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เราทำ Hedging ได้ 20% ทำให้เราได้กำไร" นายอำพน กล่าว
พร้อมกันนั้น ในวันนี้คณะกรมการบริษัทได้มีมติแต่งตั้ง นายประวิช รัตนเพียร เป็นกรรมการ แทนนายวัลลภ พุกกะณะสุต ที่ลาออก โดยนายประวิช จะเป็นกรรมการบริหารและกรรมการประเมินผลดีดี ด้วย มีผลตั้งแต่ 8 ก.พ.53 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการได้ทบทวนเส้นทางการบินในประเทศ 2 เส้นทาง จากก่อนหน้านี้ที่ได้โอนให้ สายการบินนกแอร์ เข้าทำการบินแทน แต่หลังจากทบทวนแล้วมอบหมาย THAI กลับมาบินเส้นทาง อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ส่วนอีก 2 เที่ยวบิน ใช้วิธีการ Code sharing กับสายการบินนกแอร์ ซึ่งต้องติดตามผลต่อไป
ส่วนอีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก และ กรุงเทพฯ -แม่ฮ่องสอน ยืนยันให้สายการบินนกแอร์ทำการบินแทน แต่จะมีการติดตามผลการบินของสายการบินนกแอร์ว่าสามารถทำการบินได้ตามมาตรฐานของ THAI หรือไม่ หรือมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าโดยสาร