โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC)มองเป็นหุ้นปลอดภัยในภาวะตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยง โดยคาดปี 53 กำไร-ยอดขายฟื้นตัวหลังมีสัญญาณบวกตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ที่ทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การกลับมาขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 4 แห่งในปีนี้จะส่งผลทำให้การเติบโตของรายได้ในอนาคตดีขึ้น หลังจากที่ปีก่อนมีสาขาเพิ่มขึ้นแค่แห่งเดียว และบริษัทยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่องในปี 54-55 ด้วย
บริษัทยังมีจุดแข็งที่สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน และมีเงินสดสูงถึงประมาณ 2 พันล้านบาท รวมทั้ง มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 3-4% เป็นผลให้โบรกเกอร์หลายแห่งปรับราคาเป้าหมายใหม่
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ทิสโก้ ซื้อ 57.00 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 55.20 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 53.50 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 53.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 50.00 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 50.00 บล.ซิกโก้ ซื้อ 50.00นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า กำไรของ BIGC ในปี 53 จะฟื้นตัวมาเติบโต 7% และยอดขายเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน
กำไรที่ดีขึ้นในปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง เพราะขณะนี้บริษัทไม่มีหนี้สิน และมีเงินสด(CASH)อยู่ในเกณฑ์สูงถึง 2 พันล้านบาท ดังนั้น การลงทุนขยายสาขาใหม่ 4 แห่งแทบไม่ต้องกู้เงินเลย หรือหากกู้เพื่อเก็บเงินสดไว้บ้างส่วน ก็คงจะกู้ในวงเงินไม่มากนัก โดยการขยายสาขาใหม่ในปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้นบาท
"ผมคิดว่าตัวกำไรปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้นตามยอดขายที่น่าจะเติบโต จุดแข็งของเขาเป็นเรื่องสภาพคล่อง ตอนนี้บิ๊กซีไม่มีหนี้เลย จึงส่งผลดีให้บริษัทสามารถขยายสาขาโดยที่ไม่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูง อาจจะเป็นผลดีต่อเนื่องเรื่องจ่ายปันผล...ถ้ามองเรื่อง downside risk ถือว่าไม่มาก เงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางประมาณ 4-5% ก็ถือระยะยาวก็ได้"นายธนัท กล่าวทั้งนี้ มองว่าการที่ BIGC มีฐานะเงินสดสภาพคล่องสูงมาก ในภาวะเศรษฐกิจเสี่ยง การที่บริษัทมีหนี้ต่ำถือว่าได้เปรียบมาก ถือเป็นหุ้นที่ปลอดภัยตัวเหนึ่งในกลุ่มพาณิชย์
ด้าน น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ผลประกอบการของ BIGC ในไตรมาส 4/52 ทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเติบโตมากจากไตรมาส 3/52 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับลดต้นทุนการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายที่เห็นผล
ในปี 53 คาดว่ากำไรและยอดขายของ BIGC จะเติบโตต่อเนื่องจากการขยายสาขาใหม่ และยังมีการปรับลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับ บริษัทปรับสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นดีให้มากขึ้น เช่น อาหาร รวมทั้งจัดส่งเสริมการขายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้รับฟังข้อมูลล่าสุดจากผู้บริหารบริษัท ทางบล.ฟินันเซียไซรัส เตรียมปรับราคาเป้าหมายใหม่ จากที่เคยแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท
บทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุว่า จากกำไรที่โดดเด่นในไตรมาส 4/52 เติบโต 16% yoy และเพิ่มขึ้นถึง 124% qoq มาเป็น 1,071 ล้านบาท จึงมีการปรับประมาณการกำไรปี 53 ขึ้น 8% เป็น 3,037 ล้านบาท(3.79 บาท/หุ้น) จากปี 52 มีกำไร 2,868 ล้านบาท(3.58 บาท/หุ้น)
ผลประกอบการมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ต่อเนื่องมาในปีนี้ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นตัวดีขึ้นทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
อีกทั้ง BIGC จะกลับมาเน้นการขยายสาขาอีกหลังจากเปิดสาขาไปเพียงแห่งเดียวในปี 52 ที่ศรีสะเกษ บริษัทคาดว่าจะเปิดสาขา 4 แห่งในปีนี้ โดยแห่งแรกจะเปิดที่มหาชัยในช่วงเดือน เม.ย.เริ่มเปิดสาขาขนาดเล็ก 1 แห่งมีพื้นที่ขาย 2,000 ตารางเมตร(ส่วนอีก 3 สาขาน่าจะเป็นขนาดกลางมีพื้นที่ขาย 6,000 ตารางเมตร)
บริษัทยังเน้นการบริหารสินค้าคงเหลือและระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมต้นทุน ในระยะยาวบริษัทเชื่อว่ายังมีช่องว่างในการเปิดสาขาได้อีกจำนวนมากจากปัจจุบันที่มีสาขา 67 แห่ง โดย BIGC ตั้งเป้าจะเปิดสาขา 4-5 แห่งต่อปีในช่วงปี 53-55 นอกจากนั้น BIGC ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่ควบคู่ไปกับธุรกิจขายสินค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้และเพิ่มอัตรากำไร
"BIGC มีกระแสเงินสดและฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีเงินสดสุทธิ 1,950 ล้านบาท (2.4 บาท/หุ้น) เทียบกับปี 51 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.1 เท่า เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผล 1.65 บาท/หุ้นซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3.7% อีกทั้งมีการปรับราคาเหมาะสมของหุ้นซึ่งประเมินด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดขึ้นเป็น 50 บาทจากการปรับประมาณการกำไร เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ "บทวิเคราะห์ระบุส่วนบล.เอเซียพลัส มองว่า แผนกลับมาขยายสาขาของ BIGC เป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะนอกจากจะช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายแล้ว ยังจะทำให้รายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นๆ เติบโตอย่างมีนัยฯ(โดย ณ สิ้นปี 53 คาดมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น 11,000 ตร.ม.เติบโต 3%yoy)จากปัจจัยบวกดังกล่าว บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงคาดกำไรสุทธิปี 53 จะเติบโต 10%YoY และเติบโตต่ออีก 8%YoY ในปี 54
ขณะที่การมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 52 ไม่มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายเลย(Net Cash 4.7 พันล้านบาท) และยังมีกระแสเงินสดดำเนินงานกว่าปีละ 6 พันล้านบาท เพียงพอรองรับแผนลงทุนเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ 2 พันล้านบาท