PRANDA เผยยอดขาย Q1/53โต 15% ทะลุเป้า ขอรอดูการเมืองก่อนปรับเป้าทั้งปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 17, 2010 17:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางประพีร์ สรไกรกิตติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่ (PRANDA) คาดว่า ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตถึง 15% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่บริษัทจะยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10% เอาไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์การเมือง หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ก็อาจทำให้ยอดขายจะเติบโตได้ถึง 15%

ส่วนในแง่ของกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 37% ใกล้เคียงกับปี 52 แต่การเติบโตของกำไรอาจจะไม่เท่ากับยอดขาย

"กำไรสุทธิน่าจดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตามยอดขายที่ดีขึ้น แต่อัตราการเติบโตกำไรสุทธิไม่เท่ากับยอดขาย"นางประพีร์ กล่าว

นางประพีร์ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์การเมืองอาจจะมีผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท ขณะที่ยอดขายส่วนใหญ่ถึง 80% มาจากการส่งออก แต่หากการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อจะมีผลกระทบในวงกว้าง ก็อาจส่งผลให้ต่างประเทศหวากกลัว และไม่ส่งออเดอร์ให้

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้มีการตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศไว้แล้ว โดยเฉพาะในตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น พร้อมกันนั้น ยังจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในจีน และอินเดีย

นางประพีร์ กล่าวว่า ตลาดสหรัฐฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ถึง 5% โดยเฉพาะยอดขายในเดือน ม.ค.53 ผ่านห้างสรรพสินค้าเติบโตดีมาก ส่วนตลาดยุโรปค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นในไตรมาสถัดไป หรือไตรมาส 2/53

การลงทุนขยายสาขาเพิ่มในต่างประเทศ อยู่ภายใต้งบลงทุนในปีนี้ที่ตั้งไว้ 300 ล้านบาท โดยส่วนที่จะนำไปใช้เปิดสาขาในจีนเพิ่มอีก 20 แห่งจากปัจจุบัน มี 12 แห่ง เป็น 32 สาขา ใช้วงเงิน 50 ล้านบาท นอกจากนั้นจะเปิดสาขาเพิ่มในอินเดีย รวมถึงเพิ่มเครื่องจักรเพื่อขยายการผลิต

นางประพีร์ มองว่าเงินบาทแข็งค่าเป็นความเสี่ยงของบริษัท แต่บริษัททำประกันความเสี่ยงไว้บางส่วนแล้ว ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ อย่างทองคำมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้กระทบมากนัก เพราะบริษัทลดการผลิตที่มีส่วนประกอบจากทองคำลดลง เว้นแต่ลูกค้าจะออเดอร์เข้ามา ซึ่งก็จะคิดตามราคาต้นทุน

"เงินบาทไม่ควรจะแข็งค่าเร็วนัก เพราะจะทำให้เราสูญเสียการต่อรอง ไม่ควรจะแข็งค่ามากกว่าคนอื่นในภูมิภาคเดียวกัน เพราะสินค้าเราจะแพงกว่า ลูกค้าจะหนีไปซื้อคนอื่น ซึ่งเราก็ต้องปรับตัว"นางประพีร์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ