KASETเปิดทาง strategic partner หวังโตก้าวกระโดด,ภัยแล้งไม่กระทบค้าข้าว

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 19, 2010 12:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมฤกษ์ ตั้งวิรุฬธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การปรับแนวทางการขายหุ้นเพิ่มทุนมาเป็นการเสนอขายให้กับทั้งบุคคลในวงจำกัด(Private Placement)จำนวน 27 ล้านหุ้น และขายประชาชนทั่วไป(Public Offering) 27 ล้านหุ้น เป็นการขอมติไว้เพื่อความคล่องในการบริหารจัดการ โดยเปิดทางทั้งพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศเข้ามาเป็น Stragtigic Partner

"Stragtigic Partner เป็น part สำคัญนะครับ เข้ามาแล้วส่งผลด้าน Technology Innovation มี Knowledge ที่นอกเหนือจากเงินทุน Funding แล้วเราสนใจ เหมือนจีบสาวแหละ อาจจะสรุป 1 รายหรือมากกว่า ยังไม่ได้ลงรายละเอียดขนาดนั้นครับ ต้องมีเปิดจิตเปิดใจกันว่าใช่มั้ย เราอาจจะบินไปหาเขาหรือเขาบินมาหาเรา ส่วนในประเทศก็ศึกษากัน"นายสมฤกษ์ กล่าว

นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ปีที่แล้วก็มีบางรายมาเจรจาแต่พบว่าไม่เวิร์คหลังจากทำงานด้วยกันอยู่ตั้งครึ่งปี แต่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

"เราขอเพิ่มทุนไว้เผื่อจะมีสิ่งดีๆเข้ามาในองค์กร ไม่งั้นถ้ารอให้สิ่งดีๆเข้ามาแล้วไปขออาจจะไม่ทัน เราอยากให้ธุรกิจเราโตขึ้นเยอะๆ และมีคนที่มีความรู้มาช่วยในมุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขาย การตลาด สินค้าใหม่ หรือ Knowledge การจัดการ ถ้ามีแบบนี้ในแง่ของธุรกิจก็น่าจะดี เพราะถ้าอยู่แต่เราเองก็อาจจะไปได้แต่ช้ากว่า"นายสมฤกษ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าหลังมีพันธมิตรเข้ามาช่วยในทุก ๆด้าน น่าจะทำให้ยอดขายและรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด จากที่เคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจะพยายามเจรจากับพันธมิตรให้จบภายในปีนี้ แม้ว่าตอนนี้บ้านเราจะมีปัญหาการเมือง แต่เท่าที่มีการพูดคุยกันพันธมิตรไม่ได้กังวลมากนัก เพราะมองว่าที่ไหน ๆก็มีปัญหาการเมืองไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น หรือไม่ก็ต่างชาติก็เริ่มเข้าใจว่าเมืองไทยก็เป็นแบบนี้ เป็นปกติแล้ว

"ขอมติไว้ 2 แบบคือ ขาย PO กับ PP ถ้าได้อันไหนก่อนก็เอาอันนั้น ส่วนเรื่องจำนวนหุ้น ถ้าพันธมิตรอยากได้มากกว่า 27 ล้านหุ้น ก็พร้อมจะขอมติเพื่อปรับโยกหุ้นของ PO มาให้ และก็เตรียม Board Seat ไว้ให้ด้วย ก็เหมือนกันถ้าขาย PO ได้ก่อนก็ใช้วิธีนั้น ไม่งั้นกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้...ซึ่งมีความมุ่งมั่นและเป็นมีความเป็นไปได้ที่จะพยายามให้จบในปีนี้ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ"นายสมฤกษ์ กล่าว

*พร้อมฟื้นตลาด ตปท.หลังปี 52 โตลดลง, ใน ปท.อยู่ตัวแล้ว

สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาส 1/53 มั่นใจว่าจะเติบโตเกิน 10% จากไตรมาส 1/52 เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันมากมายทั้งการเมืองในประเทศ และ ปัญหาเศรษฐกิจ ภัยแล้งก็กระทบบ้างในแง่ผลผลิตแต่ไม่มาก

"Q1/53 ดีกว่า Q1/52 เกิน 10% อาจจะได้ 15-25% ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี...2 เดือนแรกส่งออกไปเยอะมากทั้งยุโรป เอเซีย"นายสมฤกษ์ กล่าว

ปัจจุบัน KASET ส่งออกไป 75 ประเทศทั่วโลก

นายสมฤกษ์ กล่าวถึงแผนการตลาดปีนี้ ว่า จะผลักดันทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ แต่จะพยายามพลิกฟื้นตลาดต่างประเทศให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง จากปี 52 ตลาดต่างประเทศเติบโตเพียง 10% ลดลงจากปี 51 ที่เคยเติบโตถึง 30% เนื่องจากปี 52 มูลค่าสินค้าของปี 51 ขึ้นไปทะลุฟ้า แต่ปี 52 มูลค่าสินค้าลดลง เราก็ลดลงด้วย เพราะ Commodity ราคาขึ้น ๆลง ๆ เราก็เป็นเหมือนกัน

แต่ปีนี้เราตั้งเป้าตลาดต่างประเทศจะเริ่มฟื้น มีเป้าหมายจะผลักดันให้ยอดขายรวมกลับ

ด้านตลาดในประเทศถือว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว หลังจากเติบโตเกิน 100% มาเกือบทุกปี โดยสินค้าของบริษัทได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูป ประเภทโจ๊กคัพ วุ้นเส้นคัพ ต่างครองส่วนแบ่งตลาดติด 1 ใน 3 ของผู้นำตลาด ปัจจุบัน โจ๊ก"เกษตร"มีส่วนแบ่งตลาด 10-12% ขณะที่วุ้นเส้น"เกษตร"มีส่วนแบ่งตลาด 25% เป็นรองยี่ห้อต่างประเทศ

นายสมฤกษ์ กล่าวว่า แม้ว่าตลาดในประเทศจะอยู่ตัว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะเจ้าตลาดซึ่งเป็นยี่ห้อต่างประเทศทำตลาดอยู่ตลอดเวลา

"ยี่ห้อฝรั่งยี่ห้อหนึ่ง อย่าเข้าใจว่าฝรั่งไม่ชกใต้เข็มขัดนะ เหมือนแชมพูบ้านเรา เห็นยี่ห้อของประเทศไทยอยู่ใน Shelf หรือเปล่า ไม่มี....ของฝรั่งล้วน ๆ"นายสมฤกษ์ กล่าว

ทั้งนี้ ยอดขายของ KASET ในปี 52 อยู่ที่ราว 1.8 พันล้านบาท รายได้หลักประมาณ 70% มาจากผลิตภัณฑ์จากข้าว ที่เหลือมาจากวุ้นเส้นและธัญพืช

*เชื่อภัยแล้งไม่กระทบการค้าข้าว สต็อกเพียงพอสำหรับในประเทศ-ส่งออก

นายสมฤกษ์ เชื่อว่าปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าข้าวทั้งในประเทศและส่งออก เนื่องจากขณะนี้ปริมาณข้าวในสต็อกของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับสูง รวม ๆ กันน่าจะใกล้เคียง 10 ล้านตัน เพียงพอทั้งบริโภคในประเทศและส่งออก ส่วนผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ที่จะออกน่าจะอยู่ราว 2 ล้านตันใกล้เคียงปีที่แล้ว

ขณะที่ราคาส่งออกข้าวนั้น ข้าวหอมมะลิน่าจะอยู่ราวๆ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนข้าวขาวก็น่าจะยังอยู่ราวๆ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน และยังสูงกว่าเวียดนามประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ส่วนการบังคับใช้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซ๊ยน(AFTA)นั้น ไทยน่าจะได้ประโยชน์ ยกเว้นกับบางประเทศที่ปิดตลาดจริง ๆ เพราะต้องการปกป้องภาคเกษตรกรรมของเขา คล้ายๆ ประเทศไทยที่ถ้ารัฐบาลไปสนับสนุนการนำเข้ามาก ชาวนาก็จะออกมาประท้วง แต่โดยภาพรวมไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรีกับหลายๆ ประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ