โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ หนุน"ซื้อ"หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) มองราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับราคาหุ้นธนาคารอื่น ขณะที่สินเชื่อยังมีแนวโน้มขยายตัวสูง เนื่องจาก KTB เน้นปล่อยกู้โครงการภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งมาจากโครงการไทยเข้มแข็ง ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้ต่อเนื่อง และเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคารยังเติบโตได้ดี ขณะที่คาดว่าผู้บริหาร KTB จะปรับเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปี 53 เพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 6-7%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กรุงศรีฯ ซื้อ 13.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 13.20 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 13.50 บล.ไอร่า trading 12.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 13.10 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ ซื้อ 13.00นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หุ้น KTB ยังเป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใกล้เคียงธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการขยายตัวของปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐ และราคาหุ้นยังถือว่าถูก เมื่อเทียบหุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)
โดยไตรมาส 1/53 คาดว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร มีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 จากสินเชื่อในทุกกลุ่มขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มรัฐวิสาหกิจ โดยลูกค้ารายใหญ่ยังต้องการสินเชื่อระยะสั้น เนื่องจากโครงการลงทุนยังมีไม่มาก
ทั้งนี้คาดว่าไตรมาส 1/53 สินเชื่อ KTB จะขยายตัว 5% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน ซึ่งธนาคารประโยชน์สูงจากโครงการไทยเข้มแข็งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/53 จะอยู่ที่ 2,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และทั้งปี 53 บล.กรุงศรีอยุธยา ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวสินเชื่อของ KTB จาก 6% เป็น 8%
"การทำรายได้ของ KTB มาจากการปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐเป็นหลัก แม้จะมีสเปรดไม่สูงมาก แต่ถือเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ และไม่นับรวมเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ที่ไม่ส่งผลต่อเงินกองทุน ขณะที่ผู้รับเหมารายกลาง รายเล็ก ยังได้รับผลพวงจากโครงการภาครัฐที่จะมาขอสินเชื่อจากธนาคารได้อีก ซึ่งจะมีการคิดดอกเบี้ยปกติ" นายธนัท กล่าวอย่างไรก็ตาม แม้การปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐ อาจจะมีความผันผวนตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณภาครัฐ แต่มองว่ายังเป็นผลบวก เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะยังมีโครงการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
ดังนั้นในปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิของ KTB จะอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14% เมี่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว 19% และมองว่าปี 54 การทำกำไรสุทธิของธนาคารจะเพิ่มเป็น 16,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14% จากการปล่อยสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ระบุ การปล่อยสินเชื่อของ KTB ยังมีความโดดเด่น โดยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ การปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้ดี จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในทุกอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสินเชื่อภาครัฐที่เร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 53 และสินเชื่อภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยยังเป็นสินเชื่อระยะสั้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนยังไม่ใช่สินเชื่อระยะยาวเนื่องจากผลกระทบของปัญหาการเมืองและการระงับโครงการลงทุนที่มาบตาพุด
ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อยังอยู่ในระดับทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้อัตราการตั้งสำรองหนี้สูญยังอยู่ในระดับปกติที่ไตรมาสละ 500 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/53 ดีขึ้นจากไตรมาสที่แล้วและช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดอยู่ที่ 3,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิปี 53 อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากยอดสินเชื่อปี 53 ที่คาดว่าจะขยายตัว 7% จากแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากสิ้นปี 52 และคาดว่าผู้บริหาร KTB จะปรับเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปี 53 เพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 6-7%
นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า KTB ยังเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสินเชื่อเติบโตอย่างโดดเด่น ในปี 53 เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อในโครงการของรัฐและรัฐวิสาหกิจ และมีการตั้งสำรองในระดับปกติ ไม่มีการตั้งสำรองพิเศษเหมือนในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา และส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคารดีขึ้นต่อเนื่อง
โดยไตรมาส 1/53 คาดว่า ธนาคารจะมีกำไรสุทธิ 2,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นมาก และยังได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์ แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นมากจากการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน แต่การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อยังมีต่อเนื่อง โดยคาดว่าสินเชื่อไตรมาสนี้ขยายตัว 5% เมื่อเทียบไตรมาส 4/52 โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อทุกประเภท
ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะอยู่ที่ 14,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8% จากปี 52 และมีกำไรต่อหุ้น 1.29 บาท/หุ้น โดยคาดว่าสินเชื่อของธนาคารจะขยายตัว 6-7% ได้ตามเป้าหมาย และธนาคารจะมีภาระการตั้งสำรองปกติไตรมาสละ 1,500 ล้านบาท ถึงแม้ว่าสัดส่วนสำรองต่อ NPL ของ KTB จะต่ำที่สุด เนื่องจากสินเชื่อที่ปล่อยมีหลักประกันค่อนข้างมาก และไม่น่ามีปัญหา NPL เพิ่มสูงขึ้นมากในปีนี้ นอกจากนี้ คาดว่าปี 53 ธนาคารยังสามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง ในอัตรา 0.50 บาท/หุ้น