โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" KTB มองแนวโน้มปล่อยสินเชื่อโดดเด่น-ราคายังถูก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 26, 2010 12:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ หนุน"ซื้อ"หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) มองราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับราคาหุ้นธนาคารอื่น ขณะที่สินเชื่อยังมีแนวโน้มขยายตัวสูง เนื่องจาก KTB เน้นปล่อยกู้โครงการภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งมาจากโครงการไทยเข้มแข็ง ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้ต่อเนื่อง และเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคารยังเติบโตได้ดี ขณะที่คาดว่าผู้บริหาร KTB จะปรับเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปี 53 เพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 6-7%

                    โบรกเกอร์         คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท)

                    บล.กรุงศรีฯ          ซื้อ               13.00
                    บล.โกลเบล็ก         ซื้อ               13.20
                    บล.ยูไนเต็ด          ซื้อ               13.50
                    บล.ไอร่า          trading            12.00
                    บล.เกียรตินาคิน       ซื้อ               13.10
                    บล.ดีบีเอส วิคเคอร์    ซื้อ               13.00

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หุ้น KTB ยังเป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใกล้เคียงธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการขยายตัวของปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐ และราคาหุ้นยังถือว่าถูก เมื่อเทียบหุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)

โดยไตรมาส 1/53 คาดว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร มีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 จากสินเชื่อในทุกกลุ่มขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มรัฐวิสาหกิจ โดยลูกค้ารายใหญ่ยังต้องการสินเชื่อระยะสั้น เนื่องจากโครงการลงทุนยังมีไม่มาก

ทั้งนี้คาดว่าไตรมาส 1/53 สินเชื่อ KTB จะขยายตัว 5% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน ซึ่งธนาคารประโยชน์สูงจากโครงการไทยเข้มแข็งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/53 จะอยู่ที่ 2,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และทั้งปี 53 บล.กรุงศรีอยุธยา ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวสินเชื่อของ KTB จาก 6% เป็น 8%

"การทำรายได้ของ KTB มาจากการปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐเป็นหลัก แม้จะมีสเปรดไม่สูงมาก แต่ถือเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ และไม่นับรวมเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ที่ไม่ส่งผลต่อเงินกองทุน ขณะที่ผู้รับเหมารายกลาง รายเล็ก ยังได้รับผลพวงจากโครงการภาครัฐที่จะมาขอสินเชื่อจากธนาคารได้อีก ซึ่งจะมีการคิดดอกเบี้ยปกติ" นายธนัท กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้การปล่อยสินเชื่อในโครงการภาครัฐ อาจจะมีความผันผวนตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณภาครัฐ แต่มองว่ายังเป็นผลบวก เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะยังมีโครงการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

ดังนั้นในปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิของ KTB จะอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14% เมี่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว 19% และมองว่าปี 54 การทำกำไรสุทธิของธนาคารจะเพิ่มเป็น 16,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14% จากการปล่อยสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ระบุ การปล่อยสินเชื่อของ KTB ยังมีความโดดเด่น โดยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ การปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้ดี จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในทุกอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสินเชื่อภาครัฐที่เร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 53 และสินเชื่อภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยยังเป็นสินเชื่อระยะสั้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนยังไม่ใช่สินเชื่อระยะยาวเนื่องจากผลกระทบของปัญหาการเมืองและการระงับโครงการลงทุนที่มาบตาพุด

ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อยังอยู่ในระดับทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้อัตราการตั้งสำรองหนี้สูญยังอยู่ในระดับปกติที่ไตรมาสละ 500 ล้านบาท

ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/53 ดีขึ้นจากไตรมาสที่แล้วและช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดอยู่ที่ 3,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิปี 53 อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากยอดสินเชื่อปี 53 ที่คาดว่าจะขยายตัว 7% จากแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากสิ้นปี 52 และคาดว่าผู้บริหาร KTB จะปรับเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปี 53 เพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 6-7%

นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า KTB ยังเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสินเชื่อเติบโตอย่างโดดเด่น ในปี 53 เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อในโครงการของรัฐและรัฐวิสาหกิจ และมีการตั้งสำรองในระดับปกติ ไม่มีการตั้งสำรองพิเศษเหมือนในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา และส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคารดีขึ้นต่อเนื่อง

โดยไตรมาส 1/53 คาดว่า ธนาคารจะมีกำไรสุทธิ 2,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นมาก และยังได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์ แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นมากจากการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน แต่การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อยังมีต่อเนื่อง โดยคาดว่าสินเชื่อไตรมาสนี้ขยายตัว 5% เมื่อเทียบไตรมาส 4/52 โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่อทุกประเภท

ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะอยู่ที่ 14,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8% จากปี 52 และมีกำไรต่อหุ้น 1.29 บาท/หุ้น โดยคาดว่าสินเชื่อของธนาคารจะขยายตัว 6-7% ได้ตามเป้าหมาย และธนาคารจะมีภาระการตั้งสำรองปกติไตรมาสละ 1,500 ล้านบาท ถึงแม้ว่าสัดส่วนสำรองต่อ NPL ของ KTB จะต่ำที่สุด เนื่องจากสินเชื่อที่ปล่อยมีหลักประกันค่อนข้างมาก และไม่น่ามีปัญหา NPL เพิ่มสูงขึ้นมากในปีนี้ นอกจากนี้ คาดว่าปี 53 ธนาคารยังสามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง ในอัตรา 0.50 บาท/หุ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ