นายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง(BLS) กล่าวว่า รายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1/53 ปรับตัวลดลง 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดที่เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.53
ขณะที่มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าเม็ดเงินต่างชาติจะยังคงไหลเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากนี้ไปยังน่าจะเข้ามาอีกราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทั้งปี 53 มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามารวม 7 หมื่นล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบริษัทจดทะเบียนของไทยมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
กรรมการผู้อำนวยการ BLS กล่าวว่า หากมองรายได้รวมของบริษัทฯในปี 53 คาดว่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้นมาเป็น 2.4-2.5 หมื่นล้านบาท/วันในเดือน มี.ค. ขณะเดียวกันงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทฯยังมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบมจ.อินโดรามา เวนเจอร์(IVL) นอกจากนั้น ยังมีดีล IPO และ M&A อยู่ในมืออีกหลายดีล
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทฯยังคงเป้าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ไว้ที่ 4.55% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ 3.9% แม้ในเดือน มี.ค.53 มาร์เก็ตแชร์จะปรับตัวขึ้น 5.2% แต่ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร
นายพิเชษฐ์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจและยังเห็นเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก valuation ของตลาดหุ้นไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยมีส่วนลดเมื่อคิดจากค่า P/E อยู่ 24% จากเดิมที่มี gap อยู่ 20% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดฯ(Divident yield)อยู่ที่ 4.3% ซึ่งสูงกว่า Bond yield ที่อยู่ในระดับ 4% จึงทำให้มีเม็ดเงินโยกจากตลาดพันธบัตรและตราสารหนี้ มายังตลาดทุน(Equity)
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยมองดัชนี SET ในปีนี้ไว้ที่ 830-840 จุด แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้นอาจจะมีการปรับตัวลงมาบ้าง เนื่องจากผลกระทบจากจีนที่มีแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนปัญหาการเมืองนั้น นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก แต่มองที่ผลตอบแทนการลงทุนจากตัวบริษัทฯมากกว่า
"จากนี้ไปเชื่อว่าจะเห็นเม็ดเงินต่างชาติทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะเห็นสัญญาณตั้งแต่กลางเดือนกุมภาฯ ที่มีการซื้อสะสม โดยตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าหากนับตั้งแต่กลางเดือนกุมภาฯ ต่างชาติซื้อสุทธิ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสํญญาณที่ดี และหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าต่างชาติจะมีการขายทำกำไรในแต่ละรอบ 20-25% แต่ตอนนี้มีการขายทำกำไร 17-18% เพราะฉะนั้นยังมี gap ที่แสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังเข้ามาลงทุนอยู่"นายพิเชษฐ์ กล่าวจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้น โดยคาดว่าจะเติบโต 17% สูงขึ้นจากต้นปีที่ประเมินไว้ในระดับ 10% และหากความชัดเจนกรณีมาบตาพุดออกมาในทิศทางที่ดี ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% โดยจะส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม PTT