ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 1 เดือนเมื่อคืนนี้ (8 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ หลังจากราคาโลหะพื้นฐานและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงลงเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าปัญหาหนี้สินของกรีซอาจไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 49.36 จุด หรือ 0.86% ปิดที่ 5,712.70 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,684.52-5,762.06 จุด
นักวิเคราะห์จากดอยช์แบงค์กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงลงเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันกลั่นที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะดีมานด์พลังงานที่อ่อนแอในสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นบีพีปิดลบ 0.3% หุ้นเคร์น เอ็นเนอร์จี ปิดร่วง 0.6% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปิดลบ 0.8%
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปิดร่วงลงตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลก โดยเอ็กซ์สตราตาปิดลบ 2.9% หุ้นยูเรเชียน เนเชอรัล รีซอร์สเซส ปิดร่วง 3.1% และหุ้นคาซัคมิส ปิดร่วง 3.8%
นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากมีรายงานว่าต้นทุนในการกู้ยืมของกรีซพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ากรีซอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มากขึ้นด้วย โดยหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สปิดลบ 0.1% หุ้นธนาคาร HSBC ปิดลบ 1.5% หุ้นธนาคารลอยด์ส แบงกิง กรุ๊ป ปิดร่วง 2% หุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดลบ 2.3% และหุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปิดร่วง 3%
ธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายเมื่อวานนี้ และตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มูลค่า 2 แสนล้านปอนด์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่แบงก์ชาติอังกฤษตัดสินใจระงับโครงการดังกล่าวเอาไว้ก่อน