อเบอร์ดีน เผย Q1/53 ต่างชาติซื้อสุทธิส่งผลดัชนี SET ปรับขึ้น 6.6%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 16, 2010 12:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บลจ.อเบอร์ดีน ออกบทวิเคราะห์ภาวะตลาดทุนไทย ในไตรมาส 1/53 ว่า เศรษฐกิจไทยได้แสดงถึงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนเศรษฐกิจมาจากปัจจัยต่างๆจากทั้งในและนอกประเทศ ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกที่ปรับตัวขึ้น การท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังยึดนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมต่อไปที่ 1.25%

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังน่าพอใจ แต่ความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังยืดเยื้อในขณะนี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่องว่าปัญหาอาจจะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่รุนแรงขึ้นและเป็นเหตุให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องหยุดลง นับตั้งแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีเริ่มก่อการประท้วงในกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมเป็นต้นมา เพื่อเรียกร้องให้มีการยุบสภา

ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะมีทั้งด้านดีจากตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคและแนวโน้มที่ไม่แน่นอนด้านการเมือง แต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ 6.6% ในรอบไตรมาส 1/53 โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่มีการซื้อสุทธิ ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนตลาดคือการประกาศตัวเลขรายได้ในรอบปีงบประมาณ 52 ของภาคธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาแล้วนี้รวมถึงฐานเปรียบเทียบผลประกอบการในปีก่อนหน้าที่เป็นตัวเลขต่ำ จึงคาดการณ์ว่าในไตรมาสแรกของปี 53 ตัวเลขรายได้ของภาคธุรกิจจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีความหวังว่าตัวเลขจะยังคงขึ้นในทิศทางเดียวกันในไตรมาส 2/53

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกมากที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งพัฒนาการทางด้านการเมือง ระดับความแข็งแกร่งในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการเติบโตของรายได้ในภาคธุรกิจ แต่การยุบสภาก่อนเวลาอันควรอาจจะนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้นและทำให้โครงการใช้จ่ายในระยะยาวเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมดของรัฐบาลต้องหยุดชะงักลง ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในขณะนี้ การซื้อขายของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับราคาที่ไม่ถูกมากหรือไม่แพงมาก โดยมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร

และในปี 53 จากการประมาณการของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ที่ 12 เท่า แต่ยังมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าพอใจ แม้ว่าฝ่ายการลงทุนของอเบอร์ดีนจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ให้ความสนใจต่อประเด็นภาพรวมของสถานการณ์น้อยกว่าแนวโน้มในระยะยาวของบริษัทต่างๆที่ถือหุ้นอยู่ซึ่งยังดำเนินธุรกิจได้ดี เนื่องจากเกือบทุกบริษัทล้วนเป็นบริษัทที่มีคุณภาพสูงในตลาดและมีสถานะที่มั่นคงในการเติบโตต่อไป ประกอบกับมีภาระหนี้สินภายนอกน้อยหรือไม่มีเลย และให้อัตราผลตอบแทนสูงอย่างมีนัยสำคัญจากคุณภาพของหุ้นและจากความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในหุ้นดังกล่าว

ส่วนภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยเริ่มต้นปี 53 ด้วยตัวเลขที่แข็งแกร่ง โดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปรับตัวลดลงประมาณ 0.20 - 0.40% ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค.53 ซึ่งเป็นการกลับทิศทางการปรับตัวจากช่วงไตรมาส 4/52 แรงหนุนที่ทำให้เกิดการกลับทิศทางมาจากการให้น้ำหนักมูลค่ากับตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้นในดัชนี เอชเอสบีซี เอเชียน โลเคิล บอนด์ อินเด็กซ์ (HSBC Asian Local Bond Index) เพิ่มขึ้นอีก 2% มาอยู่ที่ 7.8%

แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาพันธบัตรเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลงในช่วงเวลาที่เหลือของไตรมาสแรก โดยนักลงทุนยังไม่เข้าลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนของปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ทั้งตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมากในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว วิกฤตหนี้สินของกรีซ คำตัดสินของศาลฎีกาที่สั่งให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ และการประท้วงบนท้องถนนของกลุ่มคนเสื้อแดง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต้องหยุดกิจกรรมเพื่อรอดูสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม มีเพียงพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเท่านั้น (ที่ยาวกว่า 10 ปี) ที่ยังคงปรับตัวขึ้นได้ดี เนื่องจากมีแรงซื้อจากหลายๆ บริษัทประกันชีวิตและจากนักลงทุนที่สนใจการลงทุนระยะยาว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยในกลุ่มนี้ปรับลดลงอีก 0.50% ในไตรมาส 1/53

จากการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ไทยของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยในรอบไตรมาส 1/53 อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 2% โดยส่วนใหญ่เกิดจากการปรับตัวขึ้นสูงของดัชนีในเดือน ม.ค. แม้ว่าในรอบไตรมาสนี้จะมีการออกพันธบัตรใหม่จากรัฐบาลในปริมาณมากด้วยก็ตาม

ส่วนไตรมาส 2/53 คาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากขึ้นของเศรษฐกิจไทย ซึ่งยืนยันได้จากคำแถลงของ ธปท. ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงถูกตรึงไว้ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ 1.25% แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวในรอบหกเดือนที่ผ่านมาได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและในหลายภาคส่วนมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ เช่น การเริ่มสะสมสินค้าคงคลังอีกครั้งและการกลับมาของการบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้นในไตรมาส 2/553 แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นของตลาดที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แต่ด้วยราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกมาตรการมอบเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ เราคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในเดือนต่อๆมา

ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่ ธปท.จะเริ่มวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบในไตรมาส 2/53 แต่การปรับขึ้นจะมีรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และเชื่อมั่นว่าตลาดยังไม่ได้นำปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะมาถึง มาร่วมคำนวณอัตราผลตอบแทนอย่างเต็มที่ และคาดว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรระยะสั้นจะขยับตัวสูงขึ้น การประกาศปริมาณการออกพันธบัตรใหม่ของรัฐบาลในไตรมาส 2/53 เมื่อไม่นานมานี้ดูจะเป็นผลดีสำหรับพันธบัตรระยะยาว และน่าจะเห็นทิศทางของอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรระยะยาวทรงตัวในระดับต่ำต่อไป แต่ปัจจัยการเมืองจะยังคงคาดการณ์ได้ยากและเป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ