นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมีโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 53 น่าจะอยู่ที่ 800 จุด แต่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนข้างหน้าอาจจะมีความผันผวนและทำให้นักลงทุนไม่อยากลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง
เนื่องจากยังมีประเด็นเรื่องรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่แม้จะเกิดจากความตั้งใจของรัฐบาลในแต่ละประเทศที่ทำให้ฟื้นตัวก็ตามแต่ก็ถือเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามว่า เป็นการฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ ดังนั้น ระหว่างทางการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีอาจจะเห็นลักษณะการแกว่งตัวผันผวน นักลงทุนจึงควรระมัดระวังในการลงทุน
ทั้งนี้ โอกาสที่จะเกิด January Effect น่าจะน้อยมาก เนื่องจากในช่วงปลายปี 52 ผ่านมานักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นจากที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดังนั้น จึงไม่น่าจะเห็นการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดหุ้นไทยมากนักในเดือน ม.ค.53
ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลต่างๆ พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และในรอบนี้จะนำโดยประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน หลังจากประเทศออสเตรเลียได้ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว โดยประเทศต่างๆ ได้รับบทเรียนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่คงดอกเบี้ยในอัตราต่ำไว้นานเกินไป จนเป็นปัญหาก่อให้เกิดวิกฤตการเงินในรอบนี้ ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาในการลงทุน ดังนั้นในช่วงกลางปีจึงเป็นช่วงที่ยากต่อการคาดการณ์ทิศทางการไหลของเงินทุน
นางสาววราภรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มที่แนะนำในการลงทุนในช่วงไตรมาส 1/53 ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากมองว่าค่าการกลั่น(GRM) มีแนวโน้มทียังดีขึ้น และหากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลดีต่อกำไรจากสต็อกน้ำมันด้วย โดยแนะนำหุ้น บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)
นอกจากนี้ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเนื่องจากมองว่าภาครัฐน่าจะต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจยังไม่แข็งแรง โดยแนะนำ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท(PS)เนื่องจากเป็นบริษัทที่มียอดฟรีเซลที่แข็งแกร่ง และยังมีจุดแข็งเรื่องต้นทุนและระยะเวลาในการก่อสร้างที่ดี และ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์(AP)เนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ ซึ่งในหลายโครงการสามารถสร้างยอดขายได้ดีด้วย
ด้านนายวันชัย ธัญญศิริ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและงานวิจัยทางเทคนิค บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไม่น่าจะเกิด January Effect เพราะเป็นการมองทางเทคนิคและที่ผ่านมาในรอบ 20 ปี จะเกิดเพียง 14 ครั้ง ประกอบกับการปรับตัวขึ้นของดัชนีในช่วงนั้นจะต้องปรับขึ้น 80-90 จุด แต่ขณะนี้ปรับไม่เกิน 10% เท่านั้น
ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงในเชิงเทคนิค เนื่องจากผลกระทบทางการเมือง แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อหมดปัจจัยลบ โดยทั่วไปในไตรมาส 1/53 ดัชนีจะผันผวน โดยทางเทคนิคของการเคลื่อนไหลของดัชนีพบว่าดัชนีจะเริ่มทยอยปรับลดลงรวม 50 จุดหรือดัชนีมาอยู่ที่ 700 จุด ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค และต่อเนื่องไป 3 สัปดาห์ และจะเห็นการสวิงขึ้นไปในเดือน ก.พ.และมองช่วงปลาย ก.พ.-มี.ค.ก็จะกลับไปตัวลดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากปัญหาด้านการเมืองยืดเยื้ออาจจะกดดันดัชนีในปรับตัวในช่วงแคบๆ ไปจนถึงเดือน มิ.ย.53
นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า มีโอกาสที่จะเกิด January Effect แต่จะเป็นการเกิดที่ล่าช้าโดยอาจจะเห็นการลากยาวไปถึงเดือน ก.พ.จากเดิมกรอบจะอยู่ในช่วง 15 พ.ย- 15 ม.ค. เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาล่าช้า
โดยจะเห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียค่อนข้างมากในช่วงปี 51 โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ โดยมีเม็ดเงินไหลออกจำนวน 7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปี 52 มีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ราว 6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเม็ดเงินยังไหลเข้าไม่มากนัก และไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไม่มากเพราะยังมีปัจจัยกดดันจากเรื่องปัญหามาบตาพุด
อย่างไรก็ดี มองว่ายังมีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหากไทยสามารถเกาะกระแสการเติบโตของจีนก็จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย สำหรับหุ้นที่แนะนำ คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP), บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL), บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)
การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น หุ้นที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบแรก ซึ่งได้แก่กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และ ก่อสร้าง ส่วนรอบที่สองจะเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค และโภคภัณฑ์ แต่การลงทุนในกลุ่มโภคภัณฑ์ มีข้อควรระวังคือ เงินที่ไหลมาลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มักจะเป็น Hot Money เข้าเร็วออกเร็ว ดังนั้นนักลงทุนจึงควรระวังการปรับตัวของราคาหุ้นเหล่านี้
ส่วนหุ้นปิโตรเคมี จะเป็นวัฎจักร ส่วนใหญ่มักจะดีช่วงไตรมาส 2-3 และแย่ที่สุดในไตรมาส 4 ดังนั้นช่วงเวลาลงทุนที่ดีที่สุดคือ ไตรมาส 1/53
อย่างไรก็ตามสองปัจจัยบวกที่เห็นได้ชัดเจน ในการช่วยดันดัชนีปรับตัวขึ้นต่อไปคือ การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในอัตราต่ำ สำหรับกรอบดัชนีในปีนี้ให้ไว้ที่ 680-820 จุด